วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 9)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


***บุญเก่า
.....ก่อนที่จะสายเกินไปและวันนั้นคือวันที่ข้าพเจ้าสิ้นเวรเลิกล้มการฝึกวิชารมาร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสิ้นมารที่ต้องต่อสู้ตามล้างผลาญกันต่อไป
.....มีใครบางคนกล่าวว่า ถ้าไม่วิ่งเผลอไปเอาหัวชนฝาเข้าสักโครมสองโครมแล้วละก็จะยังไม่ได้คิด แต่เมื่อใดวิ่งไปเอาหัวชนฝาชนิดจังๆ เข้าก็จะเกิดความสว่างไสวทันที
.....มันก็เข้าทำนองที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงทรมานพญานาคกับพวกชฎิลจึงจะได้คิดว่า อ้อ! ที่เราทำไปแล้วนั้นผิดทั้งเพ
.....ข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนผู้วิ่งเอาหัวไปชนฝาเสียก่อนจึงได้คิด
.....มันเป็นวันประวัติศาสตร์ของวงการฝึกสมาธิก็ว่าได้ วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2510 เป็นเวลาเช้า ข้าพเจ้านั่งดับพิษน้ำมัน
.....(เอาน้ำมันมะพร้าวต้มให้เดือด ใช้สมาธิจิตเพ่งและใช้ภาวนาคาถากำกับ ถึงแม้น้ำมันจะกำลังเดือดอยู่ แต่จะไม่รู้สึกร้อนถ้าเอามือจุ่มลงไป อย่างมากก็จะรู้สึกอุ่นๆ แต่ไม่ถึงกับพอง)
.....มีผู้ดูซึ่งเป็นเพื่อสนิทหลายคนและเคยเห็นข้าพเจ้าดับพิษน้ำมันมาก่อนแล้วเกือบทั้งนั้น
.....แต่ครั้งนี้ข้าพเจ้าเอามือจุ่มลงไปในน้ำมันครั้งใดเป็นพองทุกที มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้าดับพิษน้ำมันไม่ลงเพราะอะไรหรือ?
.....ข้าพเจ้ากลับไปนอนคิด ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่วิชาเหนียวคงกะพัน สะกดจิต ใส่ปรอด สะเดาะโซ่ตรวน
.....ซึ่งข้าพเจ้าเคยทำได้ผลมาก่อนก็พลันเสื่อมไปหมดไม่สามารถจะทำได้อีก ทั้งๆที่สมาธิของข้าพเจ้ายังดีเหมือนเดิม
.....สิ่งที่หนึ่งที่ข้าพเจ้าสังเกตคือ ทุกครั้งที่ทำการแสดงการใช้อำนาจจิตไม่ได้ผล
.....จะต้องมีบุคคลสองคนนี้ร่วมชมด้วยทุกครั้งคือ คุณอุดม พูลเกษ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคุณไชยบูลย์ สุทธิผล
.....ทั้งสองท่านที่กล่าวมานี้ ในระยะต่อมาจึงได้ทราบว่า ต่างเป็นนักฝึกสมาธิของสำนักวัดปากน้ำ ภาษีเจริญและฝึกจนบรรลุธรรมกายมาแล้วทั้งคู่
.....ไม่เพียงแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ไม่สามารถใช้อำนาจจิต ตามแบบฉบับของมารได้
.....แม้แต่อาจารย์ของข้าพเจ้าผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วประเทศก็เช่น เดียวกัน ต่อหน้าบุคคลทั้งสองนี้แล้วทำอะไรไม่ศักดิ์สิทธิ์เลย
.....คำอธิบายสั้นๆ จากคุณไชยบูลย์คือ
.....คนเราถ้าจะเปรียบแล้วก็เหมือน ตู้วิทยุ สมาธิเปรียบเหมือนเครื่องรับวิทยุ ภายในตู้
.....ถ้าเครื่องดีก็สามารถรับคลื่นเสียงได้ชัดเจน ทั้งคลื่นสั้น คลื่นยาว ทั้งในระยะไกลและใกล้
.....ส่วนจะเลือกรับคลื่นที่ส่งมาจากมารหรือจากพระนั้น แล้วแต่ผู้ฟังหรือจิตของเราเองว่าจะฝักใฝ่ไปในทางใด
.....เพราะข้าพเจ้าหลงไปรับฟังหรือเลือกรับเฉพาะคลื่นของฝ่ายมารมาตลอดเวลา จึงทำวิชามารได้ศักดิ์สิทธิ์
.....แต่เมื่อบุคคลทั้งสองนี้ซึ่งก็เปรียบเหมือนสถานีย่อยของฝ่ายพระมาอยู่ใกล้ๆ
.....คลื่นจิตฝ่ายมารไม่สามารถส่งถึงหรือถูกรบกวนอย่างหนัก ข้าพเจ้าจึงใช้อำนาจจิตฝ่ายมารไม่ได้ผล

***ฝึกธรรมกาย
.....เมื่อรู้ตัวเช่นนี้ เรื่องอะไรข้าพเจ้าจะเป็นตัวสื่อสารให้มารมันต่อไป จึงเริ่มฝึกเรียนวิชาธรรมกายทันที จากคุณไชยบูลย์
.....ในระยะ 3 เดือนแรก มันช่างทรมานใจอะไรอย่างนั้น ไม่มีอะไรอีกแล้วจะทรมานไปกว่านี้
.....ขณะนั่งฝึกสมาธิ ถ้าจิตเคลื่อนไปจากที่ตั้งแม้เท่าปลายเข็ม อาจารย์มารที่ล่วงลับไปแล้วต้องตามมารังควานทันที
.....เหมือนกับเวลาปรับคลื่นวิทยุ ถ้าเคลื่อนไปนิดเดียวจะมีคลื่นอื่นเขามารบกวนทันที
.....วิธีรังควานของมันก็คือนิมิตให้เห็นเป็นภาพน่าเกลียดน่ากลัวหลอกหลอนต่างๆ นานา
.....ฝ่ายอาจารย์สอนดับพิษไฟให้ก็ร้าย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกจับโยนเข้าไปกลางกองไฟ
.....พอลืมตาขึ้นก็หายไป แต่พอหลับตาก็เป็นอีก
.....บางทีก็เห็นและรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบจนปวดกระดูก แน่นอน ต้องเกิดจากอาจารย์มารเจ้าของวิชาธนูมือ
.....จะแผ่เมตตาเท่าใดมันก็ไม่ยอมเลิก จนอาจารย์ฝ่ายพระต้องลงมือควบคุมอย่างใกล้ชิดอาการต่างๆ ดังกล่าวจึงหายไป
.....ต่อมาข้าพเจ้าได้ติดตามคุณไชยบูลย์ไปวัดปากน้ำภาษีเจริญ เพื่อจะปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ไปวัดปากน้ำ
.....ครั้งแรกไปเมื่ออยู่ชั้นมัธยมหก แต่มารดลใจให้แลเห็นพระเป็นมาร
.....พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ สอนให้ฝึกวิชาธรรมกายซึ่งเป็ฯวิชาฝ่ายพระโดยตรงข้าพเจ้ากลับปฏิเสธ
.....เพราะมีความเห็นว่า “เรียนแล้วทำให้หนังเหนียวไม่ได้ วิชาคงกระพันดีกว่า” หาได้นึกไม่ว่า ถึงหนังเหนียวก็ไม่สามารถทำให้พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายได้
.....เมื่อย้อนกลับมาเป็นคำรบสอง ก็ต้องเสียใจมาจนเท่าทุกวันนี้
.....เพราะเจ้าคุณพ่อลาโลกไปแล้ว แต่ได้ฝากวิชาธรรมกายไว้ให้พวกเราได้ศึกษากันต่อไป
.....อย่างมากที่ข้าพเจ้าจะทำได้ก็คือเข้าไปกราบที่ประดิษฐานศพของท่าน ขอขมาที่ได้ล่วงเกินไม่เคารพ และตั้งใจปฏิบัติธรรมไปกว่าชีวิตจะหาไม่

***เหตุหลงทาง
.....อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าและผู้ใฝ่ธรรมอื่นๆหลงทาง?
.....ประการที่หนึ่ง ที่ทำให้ผู้ใฝ่ธรรมหลงทางคือ การสั่งสอนกันมาผิดๆ ของผู้ที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์และไม่มีใครยอมแก้ไข
.....ยกตัวอย่างพอจะเห็นได้ชัด เช่น
.....พระพุทธเจ้าสอนให้มีเมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข พระองค์ยังทรงบ้ำต่อไปอีกว่า
.....ศัตรูสำคัญของ เมตตา คือ ราคะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังมีผู้ที่ตั้งตนเป็นอาจารย์ทำเสน่ห์ยาแฝด
.....ทำให้ผู้อื่นเกิดราคะความรักใคร่ฐานชู้สาว ที่หลงเรียกกันว่า “เมตตามหานิยม” ผู้ที่หลงงมงายก็เลยพากันขึ้นต้นงิ้วไปตาม ๆ กัน
.....ประการที่สอง คือพระภิกษุอุตริ พวกนี้เป็นพระสักแต่ว่าเอาผ้าเหลืองมาห่ม ศีลสิกขามีอยู่สองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อก็ถือไม่ได้แม้แต่ศีลห้า
.....เพื่อลาภสักการะหรือชื่อเสียงจอมปลอมว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์แสดง อภินิหารว่าตัวของอาตมาแน่ ทำการปลุกเสกเลขยันต์ใบ้หวยต่างๆ นานา ทำให้คนหลงผิด
.....ประชาชนที่ด้อยปัญญาก็หลงสักการะว่า ตะกรุดคือธรรมะ ผ้ายันต์คือที่พึ่ง ตัวผู้สร้างคือผู้วิเศษ
.....ส่วนผู้มีปัญญาเมื่อพบเข้าก็หมดศรัทธาที่จะเข้าวัด ทั้งๆที่อยากจะเข้า
.....ประการที่สาม ทีทำให้ผู้ใฝ่ธรรมะหลงผิด และนับว่าเป็นสาเหตุร้ายแรงที่สุด
.....คือผู้ที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์มีประสบการณ์การฝึกสมาธิและวิปัสสนาน้อย เกินไป ยังไม่เข้าใจซึ้งถึงการฝึกสมาธิทั้ง 40 วิธีที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
.....จึงเกิดการใส่ร้ายป้ายสีระหว่างนักปฏิบัติด้วยกันเป็นที่น่าอับอายอย่างยิ่ง เป็นรอยมลทินอย่างใหญ่หลวงของพระพุทธศาสนา
.....ชอบพูดถากถางกันว่า สำนักนั้นเป็นสมถะ สำนักนี้เป็นวิปัสสนา แทนที่จะมาเข้าวัดเพื่อขุดกิเลสออกทิ้งกลับพอกพูดกิเลสให้มากขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

การก่อผนังอิฐบล็อก

ที่มา :  https://itdang2009.com/อิฐบล็อก-และเทคนิคการก่/ อิฐบล็อก และเทคนิคการก่ออิฐบล็อก ...