วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

ตักบาตรพระเซ็นทรัลเวิลด์ พระ 10,000 รูป

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556 

เวลา 05.30 - 07.30 น.

ณ ถนนราชดำริ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถึง สี่แยกประตูน้ำ 

นั่งแท็กซี่จากที่บ้าน ลงถนนราชปรารภ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณตอนท้ายของพื้นที่จัดงาน เพราะดูแล้วว่าน่าจะเดินเข้าไปในพิธีสะดวกกว่า ครั้งนี้มาทันพิธีกล่าวถวายสังฆทาน...

นั่งบริเวณตอนกลางค่อนมาทางท้ายแถว

อาหารแห้งที่จัดเตรียม

คณะพระภิกษุสงฆ์เดินแปรแถว

สาธุชนตักบาตรด้วยความเคารพต่อพระภิกษุสงฆ์ โดยการนั่งใส่บาตร

อาสาสมัครช่วยกันเก็บงาน เพื่อให้สามารถเปิดถนนได้ตามเวลาที่กำหนด สาธุ...



วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บุญบวช...

จากความตั้งใจที่อยากจะให้หลวงลุงบวชพระช่วงเข้าพรรษา 100,000 รูป  ก็เลยเปลี่ยนให้มาร่วมโครงการตั้งแต่ 16 ก.พ.2556 รุ่นบูชาธรรม 69 ปี (โครงการ 1) เนื่องจากปัญหาสุขภาพของหลวงลุงเอง เพราะเห็นว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน จะรอเข้าพรรษาก็นานเกินไป  โดยคิดว่าจะบวชจนจบโครงการ วันที่ 16 พ.ค.2556

การบวชครั้งนี้ทำให้หลวงลุงได้เข้าใจวัด  เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม  เกิดอาการรักบุญกลัวบาป เข้าใจมโนปณิธานของมหาปูชนียาจารย์  หลวงลุงจึงอยากรับบุญ ตักบาตรสีลม พระ 10,000 รูป 19 พฤษภาคม ฉลองวิสาขบูชาโลก    และเมื่ออยู่ต่อ  หลวงลุงก็อยากรับบุญใหญ่บวชพระ 100,000 รูป และหล่อทองหลวงปู่ทองคำองค์ที่ 7  เพราะหลวงลุงได้เข้าใจแล้วว่าบุญเท่านั้นที่จะติดตามเราไปเมื่อเราละจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งอื่นไม่ใช่

หลวงลุงรับบุญตักบาตรพระ 10,000 รูป

ซึ่งตลอดระยะเวลาแห่งการถือครองเพศสมณะนั้น หลวงลุงหมั่นฝึกตน ทนหิว บำเพ็ญตบะ  เพื่อที่จะเป็นพระแท้ หลวงลุงรับบุญทุกอย่างในวัด งานหนักไม่เคยเกี่ยง ทั้งที่สุขภาพหลวงลุงก็ไม่ค่อยดี  แต่อาการป่วยของลุงกลับไม่ส่งผล และคาดว่าน่าจะดีขึ้นตามลำดับ

เดินธุดงค์ธรรมชัย จ.กาญจนบุรี  26-30 เม.ย. 2556 

การที่ได้เห็นหลวงลุงได้มีส่วนช่วยฟื้นฟูวัดร้างให้เป็นวัดรุ่ง ยืดอายุพระพุทธศาสนา ทำให้เรารู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างมาก  เพราะเมื่อบุคคลที่เราชวนบวชได้บำเพ็ญตนเพื่อพระศาสนามากเท่าใด  คนชวนบวชก็ได้รับอานิสงค์ผลแห่งบุญนั้นตามไปด้วย

ทุกครั้งที่หลวงลุงได้มาบอกกล่าวว่าจะเลื่อนระยะเวลาการลาสิกขาออกไป  เรารู้สึกยินดีมากเพราะเราชอบการบวช เราชอบชีวิตสมณะ  แต่ใจก็รู้สึกสับสน  เพราะอยากหล่อทองหลวงปู่องค์ที่ 7  เราเพิ่งเข้าวัดไม่กี่ปี ไม่เคยหล่อทององค์ที่ 1-5 เลย  เรามีเลขในใจของเราไว้อยู่แล้ว แต่มันยากมากที่จะรับทั้งบุญบวชแบบเกินเป้า(ที่หลวงลุงจัดเต็ม) และหล่อทองหลวงปู่ให้ได้ตามเป้า(ที่ตั้งไว้ในใจ) ไปพร้อมๆกัน (ลำพังจะไปบอกบุญคนอื่นก็ยากเต็มที เพราะคนรอบตัวก็ไม่เข้าใจวัด)

แต่เพราะเชื่อหลวงพ่อและมหาปูชนียาจารย์ "ทุกอย่าง เป็นไปไม่ได้ไม่มี  ทุกอย่าง เป็นไปได้ทั้งสิ้น" บุญเท่านั้นที่จะช่วยทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จ  และเราก็เชื่อเช่นนั้นจริงๆเต็มหัวใจ โดยตั้งใจจะสั่งสมบุญทุกบุญอย่างเข้มข้นในช่วงเข้าพรรษา หวังว่าคงจะมีเรื่องเหนือความคาดหมายจากหลวงปู่ทองคำองค์ที่ 7 กับเค้าบ้าง.
-/\-

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มองทุกข์

วันนี้เห็นป้าคนนึง แก่มากแล้วต้องออกแรงเข็นรถเข็น เพื่อไม่ให้รถที่ตามหลังมาต้องหงุดหงิด ป้าแก่แล้ว ป้ายังต้องทำงาน เพราะถ้าป้าไม่ทำงานก็จะไม่มีตังใช้  ไม่มีข้าวกิน  ทั้งที่ในวัยของป้าไม่ควรที่จะต้องมาลำบากเลี้ยงชีพเช่นนี้

คิดว่าคนส่วนใหญ่ที่มีความทุกข์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนเรามักจะมองแต่ทุกข์ของตนเอง และความผิดพลาดของผู้อื่น หากเราเพ่งมองแต่ทุกข์ของตนเอง ความเอื้อเฟื้อต่างๆที่จะมีต่อผู้อื่นจะลดลง เพราะมัวแต่กลัดกลุ้มเรื่องของตัวเอง จมจ่อมแต่ความรู้สึกนั้น และถ้ายิ่งไปมองความผิดพลาดของผู้อื่นร่วมด้วยแล้ว นอกจากความเมตตาจะไม่บังเกิด  อารมณ์ไฟสุมทรวงอาจจะเข้ามาแทนที่

หากเราลองเปลี่ยนมามองกลับด้านกัน โดยมองทุกข์ของผู้อื่น ความรู้สึกที่แข็งกร้าวหรือห่อเหี่ยวภายในใจ จะคลายตัวลง เพราะความรู้สึกเมตตาสงสารจะเข้ามาแทนที่ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความอยากทำอะไรเพื่อผู้อื่นจะตามมา

เปรียบดั่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่มองเห็นทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง  เกิดความเมตตาสงสารปรารถนาจะให้เหล่าสรรพสัตว์พ้นจากทุกข์ ความรู้สึกจึงเปี่ยมล้นไปด้วยเมตตา ความเมตตาที่เปี่ยมล้นนี้สามารถทำให้ตั้งจิตอธิษฐานให้ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เพื่อที่จะสามารถนำพาตนเองและเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายพ้นจากทุกข์ได้

สรุปคือหากเรากำลังประสบปัญหา ให้มองคนที่เค้าทุกข์มากกว่าเรา มีทางเลือกน้อยกว่าเรา เผื่อเกิดกำลังใจที่เข้มแข็งให้กับตนเองได้บ้าง...

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การทำวิชชา “เก็บเมฆ หมอก ลม ฝน”


เล่าโดย จิตอารีย์ ( วิทยากร สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย )

พระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร)
ได้เทศน์ไว้ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๗ ว่า.....

“ ในศาลานี้ ก็มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เต็มไปหมด
แต่ผู้ใดจะให้ฝนตก ผู้นั้นต้องทำฝนเป็น
เรียกฝนเป็น แก้ไขทำฝนขึ้นได้ ทำน้ำขึ้นได้
ผู้เทศน์นี้ได้เคยแก้ไขมาแล้ว จะแก้ไขเกณฑ์ฝนได้เหมือนกัน ”


นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ อานุภาพวิชชาธรรมกาย...ของพระพุทธเจ้า
ที่ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้สั่งสอนถ่ายทอดมายัง หลวงพ่อวีระ คณุตฺตโม
(รองเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ)

และถ่ายทอดต่อมาถึง หลวงป๋าเสริมชัย ชยมงฺคโล 
(เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี)

รวมทั้งที่ได้ถ่ายทอดต่อมาถึงศิษยานุศิษย์ในปัจจุบันนี้

เป็นสิ่งยืนยันว่า การทำวิชชา หรือ อภิญญา...เป็นเรื่องที่ทำได้จริง
ไม่ใช่มีแต่ตัวอักษรอยู่ในตำราเท่านั้น
และ วิชชา๓  อภิญญา๖  อันมีอาสวักขยญาณ...เป็นที่สุดนั้น
ก็มีอยู่อย่างสมบูรณ์...ในวิชชาธรรมกาย
ซึ่งข้าพเจ้าจะขอนำเอาประสบการณ์
ที่ได้จากการเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกาย...มาเล่าสู่กันฟัง
เพื่อเสริมศรัทธาแก่ผู้สนใจในการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ดังนี้

ในวันที่ ๑ - ๒๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๑
ได้มีการจัดอบรมกัมมัฏฐานตามแนววิชชาธรรมกาย แก่สามเณรที่บวชภาคฤดูร้อน
รวมทั้งฆราวาส อุบาสก อุบาสิกา ที่วัดเกาะวาลุการาม จ.ลำปาง

ข้าพเจ้า พร้อมด้วยคณะศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ
และเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิพุทธภาวนาวิชชาธรรมกายอีกหลายท่าน
ได้ติดตาม หลวงป๋า เดินทางจากกรุงเทพไปยัง จ.ลำปาง
เพื่อไปสอนกัมมัฏฐาน และ ต่อวิชชาแก่สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ที่มาปฏิบัติธรรม
ปรากฏว่า มีสามเณร และ ฆราวาสหลายท่าน...ได้เข้าถึงธรรม
และได้รับการ “ต่อวิชชาชั้นสูง” อีกด้วย

ในวันที่ ๑๙ เมษายน ข้าพเจ้าและคุณวลี มีธุระต้องเดินทางกลับกรุงเทพ
โดยเที่ยวบิน TG173  เป็นเครื่องบินแบบ SH300 ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก
ซึ่งจะบินไปแวะที่ จ.แพร่  ก่อนจะถึงปลายทางที่ จ.พิษณุโลก
จากนั้นพวกเราจะต้องเปลี่ยนเครื่องตรงเข้ากรุงเทพ อีกทีหนึ่ง

เมื่อเราทั้งสองคนมาถึงสนามบิน จ.ลำปาง
สภาพอากาศก่อนหน้านั้น ที่ดูค่อนข้างแจ่มใส
ก็เริ่มมีกระแสลมกรรโชกแรง พัดเอาฝุ่นฟุ้งกระจายเป็นครั้งคราว
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม จากนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก
พร้อมกับมีกระแสลมแรง พัดเข้าปะทะอาคารสถานีเป็นระยะๆ
ทั้งลมและฝน...ได้เพิ่มความแรงขึ้นเรื่อยๆ

ขณะนั้นเป็นเวลา ๑๕.๐๕ น. ซึ่งตารางเที่ยวบินนี้จะออกในเวลา ๑๕.๑๐ น.
คุณวลีได้พูดกับข้าพเจ้าว่า ถ้าฝนยังตกหนักและลมแรง จนมองไม่เห็นสนามบินอย่างนี้
พวกเราคงไปไม่ทันขึ้นเครื่องบินที่พิษณุโลก เพื่อเข้ากรุงเทพเป็นแน่
เพราะเขาจะไม่นำเครื่องบินขึ้น ภายใต้ทัศนวิสัยที่ไม่ดีเช่นนี้

เราทั้งสองคนจึงสงบใจเข้าที่ “ เจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูง ”
เพื่อเก็บเหตุในเหตุ ไปถึงต้นๆเหตุของภัยพิบัติ ในธาตุในธรรมที่สุดละเอียด
ซึ่งอาจส่งผลถึงธาตุธรรมส่วนหยาบ...ให้หมดสิ้นไปจากธาตุธรรม “เห็น จำ คิด รู้”
ของกายในกายทุกกาย สุดกายหยาบกายละเอียดของเรา

พอถึงเวลา ๑๕.๑๐ น.
สายลมก็เริ่มอ่อนตัวลง เหลือไว้เพียงฝนเม็ดเล็กๆที่ยังตกลงมาบ้าง
พวกเราจึงได้ขึ้นเครื่องบินตามเวลา
หลังจากที่เครื่องบินเหินขึ้นฟ้าได้สักพักหนึ่ง
ผู้โดยสารทั้งหมดที่อยู่บนเครื่อง ก็รู้สึกเหมือนโดนจับโยนลงไปในหลุมอะไรสักอย่าง
เครื่องบินเหมือนถูกกระแทกกับความว่างเป็นช่วงๆ จากการตกหลุมอากาศ

ข้าพเจ้าจึง เจริญวิชชาชำระธาตุธรรม 
“เห็น จำ คิด รู้” ของกายในกายทุกกาย สุดกายหยาบกายละเอียด...จนใสสะอาดบริสุทธิ์ดี
ถึงธาตุล้วนธรรมล้วนของพระพุทธเจ้า จักรพรรดิ ภาคผู้เลี้ยง ... ฯลฯ
และ ต้นธาตุต้นธรรม...ในที่สุดละเอียดของเขตธาตุเขตุธรรม

แล้วจึงน้อมเอาเส้นทางบิน ที่เครื่องบินจะผ่านไป...ให้ปราศจาก เมฆ หมอก ลม ฝน
ด้วยการ ทำวิชชา “เก็บเหตุ” ทั้งหลายเหล่านั้น

แต่ขณะที่เพิ่งเริ่มทำวิชชาเก็บเหตุอยู่นี้
ก็รู้สึกตัวว่า เหมือนถูกจับโยนลงไปในหลุมเป็นช่วงๆอีก
มันวูวแล้ว วูวอีก ไม่ให้ตั้งตัวเลย
ส่วนภายในใจ ก็รับรู้ได้ว่า...
ขณะนี้เครื่องบินกำลังตกอยู่ท่ามกลางอากาศ...ที่แปรปรวนมาก


แม้จะเคยนั่งเครื่องบินมาแล้วหลายหน
แต่ก็เพิ่งมาเจอเหตุการณ์อย่างนี้เป็นครั้งแรก
แวบหนึ่งของจิต ที่มีความกังวล...ปนแทรกเข้ามา
ประกอบกับอาการสั่นคลอนของเครื่องบิน...ที่ทวีมากขึ้น
ใจจึงเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน จิตจึงเคลื่อนออกจากสมาธิ


เพราะสติมาจับอยู่กับเรื่องภายนอก
จึงส่งผลให้ความกลัวอันเป็นนิวรณ์...เกิดแทรกขึ้นในใจได้
เมื่อมีสติรู้เท่าทันจิตอย่างนี้
ข้าพเจ้าจึงเริ่มจรดใจเข้าไปใหม่
ทุ่มปักใจเข้ากลางของกลางต่อไปตามลำดับ
อารมณ์ที่หวาดกลัว...ก็หายไป

เมื่อใจตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เข้าสู่ศุนย์กลางของ “องค์ต้นธาตุต้นธรรม” ได้อีกครั้งหนึ่ง
ในท่ามกลางจิตที่อยู่ในสมาธินั้นเอง
เสียงที่ก้องกังวานทรงอำนาจของ หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ก็ดังขึ้นว่า..


“ กลัวตายละซี่ นี่แหละลักษณะของใจคนที่ใกล้จะตาย
เพราะที่กลัวความตาย ใจก็ลอยเผินขาดสติอย่างนี้...จำเอาไว้ ”


เสียงหลวงพ่อเทศน์ขนาบเข้าให้ โดยเอาเราเป็นตัวอย่างเสร็จ
แต่หลวงพ่อ ก็ยังคงมากไปด้วยความเมตตาอีกเช่นเคย
เพราะท่านสั่งต่อไปว่า...

“ เมื่อเครื่องบินมันตกวูบอีก
เจ้าจงเอามันตกศูนย์ไปด้วย พร้อมกับใจของเจ้าดูซิ  ”

.....สิ้นเสียงของบูรพาจารย์


ข้าพเจ้าก็เริ่มอธิษฐานอาราธนา “ต้นธาตุต้นธรรม” 
ซึ่งเป็นธาตุล้วนธรรมล้วน ที่ใสบริสุทธิ์ที่สุดนั้น
...ทับทวีขึ้นมาเป็นเรา นับอสงไขยอายุธาตุอายุบารมีไม่ถ้วน
เพื่อดับ หรือ เก็บธาตุธรรมภาคดำต่อไป
พร้อมๆกับน้อมเอา เครื่องบินและผู้โดยสารทั้งหมด...เข้ากลางของกลาง
กำหนดเดินวิชชา “เก็บเมฆ หมอก ลม ฝน” พร้อมกันไป

ดังนั้น เมื่อเข้าสู่ที่สุดละเอียดขององค์ต้นๆ
เครื่องบินและทุกคนในเครื่องบิน ที่เป็นส่วนละเอียด...ก็พลอยใสสะอาดตามไปด้วย
เพราะได้ตกศูนย์ผ่านเข้าสู่การควบคุมของ ... “ องค์ต้นธาตุต้นธรรม ” แล้ว

ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเจริญภาวนาผ่านวิชชาอย่างรวดเร็วนั้น
ก็ได้รู้ตามกระแสขอบข่ายของ “ ญาณทัสนะ  ” ว่า .....
เครื่องบินกำลังลอยอยู่ในห้วงของอากาศ...ที่เป็นปกติแล้ว
มีแต่เฉพาะส่วนรอบนอกๆออกไป ที่ยังมีพายุลมแรงอยู่
และยังเห็นว่า เส้นทางที่จะบินไปนั้น...ปลอดโปร่งไปตลอดทาง

เมื่อสถานการณ์กลับคืนสู่สภาพปกติ
ผู้โดยสารหลายคนถอนหายใจ และเริ่มขยับตัวพูดคุยกันบ้าง
หลังจากที่นั่งเกร็งเกาะเก้าอี้ ปิดปากเงียบมาพักใหญ่
เมื่อเครื่องบินแวะลงจอดที่สนามบิน จ.แพร่
ข้าพเจ้าพบว่า ที่นี่ไม่มีฝนตกสักเม็ดเดียว

และเมื่อเครื่องบินเดินทางต่อไปจนถึง จ.พิษณุโลก
เราทั้งสองคนก็ได้นั่งเครื่องบิน โบอิ้ง737
ซึ่งเป็นเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่กว่าลำเดิม เดินทางกลับกรุงเทพ
ถึงสนามบินดอนเมือง ในเวลา ๑๘.๒๕ น.
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึง อานุภาพวิชชาธรรมกาย...ของพระพุทธเจ้า
ซึ่งหากผู้ปฏิบัติธรรมได้ศึกษาอบรมอย่างจริงจัง
ย่อมสามารถปฏิบัติเข้าถึงได้ และย่อมยังประโยชน์สุขแก่ตนเองได้เป็นอันมาก

ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่ปรากฏ มีอยู่ของ “ วิชชาในพระพุทธศาสนา ” ทั้งสิ้น

* เรียบเรียงบางตอนจากบันทึกของ
จิตอารีย์ (วิทยากร สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย)

** ที่มา
นิตยสารธรรมกาย ฉบับที่ ๑๐
ตุลาคม – ธันวาคม  ๒๕๓๑

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เหตุเกิดที่แคว้นปันจาบ  อินเดีย  ลูกหมา 2 ตัวตกลงไปในบ่อ อยู่ร่วมกับงูเห่า 48 ชั่วโมง ระหว่างที่รอให้ จนท.ป่าไม้มาช่วย โดยที่งูเห่าไม่ทำอะไรลูกหมาเลย ทั้ง 3 ชีวิตปลอดภัยในตอนจบ



คาดว่าคงจะหวาดกลัวกันทั้งงูทั้งลูกสุนัข

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผมสวย ด้วยวิธีที่อิงธรรมชาติมากที่สุ
1. น้ำเปล่า น้ำืำทำหน้าที่ดูดซึมวิตามินกรดอะมิโนเกลื่อแร่ต่างๆ และยังทำให้ผมชุ่มชื่นนุ่มสลวยด
2. วิตามิน A เพื่อผมแข็งแรง ได้จาก มะละกอ บร็อกโคลี่ ฟักทอง
3. วิตามิน B 6 ทำให้เส้นผมทำงานดีขึ้น ได้จาก ปลาทูน่า ปลาแซลมอน กล้วย
4. วิตามิน B 12 ป้องกันผมร่วง ได้จาก นมวัว หอยลาย สาหร่าย
5. วิตามิน C ผมแข็งแรงไม่เปาะง่าย ได้จาก รากบัว มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ
6. วิตามิน E เส้นผมเงางามวาววับ ได้จาก น้ำมันมะเล็ดดอกทานตะวัน ผักบุ้ง ผักโขม
7. โปรตีน สร้างเส้นผมใหม่ให้งอกงาม ได้จาก ปลาโอ เนื้อสัตว์ต่างๆ เห็ดต่างๆ
8. แคลเซียมบำรุงผมให้แข็งแรงสุขภาพดี ได้จาก ปลาเล็กปลาน้อย งาดำ กุ้ง
9. กรดโฟลิก ผมงามเป็นประกาย ได้จาก ตับ ข้าวโพด หน่อไม่ฝรั่ง
10. ไบโอติน ผมดีไม่มีเปาะ ได้จาก หอยนางรม ถั่วแดง ถั่วเขียว
11. ทองแดง ผมดำตลอดกาล ได้จาก ปลาโอ โกโก้ พริกแห้ง
12. สังกะสี หนังศีรษะไม่แห้งไม่เกิดรังแค ได้จาก จมูกข้าวสาลี อัลมอนด์ ปลาอินทรี

ชา กาแฟ ถ้าคุณอยากมีผมดำสลวย และแข็งแรงก็ต้องบอกลาเครื่องดื่มเหล่านี้ เพราะในชา กาแฟมีสารที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้มากเท่าที่ควรและเมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะทำให้ผมอ่อนแอหลุดร่วงง่ายค่ะ

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชาติก่อนและชาติปัจจุบันของสุกรตัวหนึ่ง

มีพระชราท่านหนึ่ง ตอนที่ท่านเดินผ่านโรงฆ่าสัตว์ ท่านอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ แล้วท่านก็พูดถึงอดีตชาติของท่าน
“มัน เป็นเรื่องยาว อาตมา ระลึกถึงอดีตชาติของอาตมาได้ ในชาติหนึ่ง อาตมาเป็นคนฆ่าสัตว์ และมีรายได้จากการฆ่าสัตว์ อาตมาเสียชีวิตตอนอายุสามสิบ จิตวิญญาณของอาตมาถูกยมทูตหลายองค์พาไปที่นรก ยมบาลได้ดุว่าอาตมาเนื่องจากกรรมหนักจากการฆ่าของอาตมา และนำจิตวิญญาณของอาตมาไปไว้ในกงล้อ ในนรก เพื่อชดใช้กรรม อาตมาอยู่ในภวังค์ และไม่รู้สึกตัว ราวกับว่าอาตมาเมาเหล้า หรืออยู่ในความฝัน อาตมารู้สึกแต่ว่า ศีรษะของอาตมาร้อนมากจนทนไม่ได้ ในเวลาต่อมา อาตมารู้สึกเย็นลงเล็กน้อย และพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของสุกร และพบว่าตัวเองนั้นเกิดใหม่เป็นสุกร”

“ตอนที่ อาตมาเกิดเป็นสุกร อาตมาร้องครางอย่างเด็กทารก อาตมาเห็นว่า ผู้คนมักจะนำเศษอาหารสกปรก มีกลิ่นเหม็นมาให้เสมอ อาตมารู้ว่าอาหารนั้นไม่สะอาด และพยายามที่จะไม่ทานอาหาร แต่อาตมาก็หิวจนทนไม่ได้ และอวัยวะภายในของอาตมาเจ็บปวดมาก ราวกับว่ามันถูกเผาไหม้ด้วยไฟ อาตมาไม่มีทางเลือกนอกจากทานอาหารสกปรกนั้นเพื่อรักษาชีวิตไว้ อาตมาเรียนภาษาสุกรอย่างช้า ๆ และสามารถพูดกับเพื่อนสุกรของอาตมาได้

ที่จริงแล้ว สุกรจำนวนมากมายสามารถระลึกได้ว่า พวกเขาเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แค่ว่าตอนนี้ พวกเขาเกิดมาเป็นสุกร พูดภาษาที่ต่างไป และไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ ตอนที่พวกเขากำลังจะถูกฆ่า พวกเขาทราบดีไม่มากก็น้อยว่าวันนั้นกำลังมาถึง พวกเขาจะโอดครวญอย่างเศร้าสร้อย และด้วยดวงตาเปียกปอน”

“การเป็นสุกร ร่างกายของพวกเรานั้นหนักมาก และเราเดินได้ไม่สะดวกนัก ในฤดูร้อนเรากลัวความร้อน และต้องแช่ตัวเองในโคลนเพื่อให้รู้สึก เย็นลง อย่างไรก็ดี สิ่งนี้เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เป็นจริงได้ไม่บ่อยนัก ขนของเรานั้นหยาบ และแข็ง และมีน้อย เราจึงกลัวความหนาวเย็นในฤดูหนาว การได้รู้ว่าสุนัขและแกะมีขนหนา เหมือนพรมบนร่างกาย เราคิดว่าพวกเขาเป็นสัตว์ที่ได้รับ การปฏิบัติอย่างสวรรค์ ในเวลาที่ถูกฆ่า แม้ว่า เราจะรู้ว่า มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรายังดิ้นรน กระโดด และพยายามหนี จากนั้น คนฆ่าจะจับตัวเราไป พวกเขาเหยียบบนตัวเรา และมัดคอและขาทั้งสี่ของเราด้วยเชือก เชือกนั้นถูกมัดไว้อย่างแน่น จนมันสัมผัสกระดูกของเรา

มันเจ็บปวดมากราวกับว่ากำลังถูกกรีดด้วยมีด พอเราถูกขนไปยังเรือ หรือรถเข็น สุกรทุกตัวจะถูกอัดแน่นไว้ด้วยกัน จนกระดูกของเราแทบหัก เลือดของเราไหลเวียนได้ไม่ดี และท้องของเราบวมราวกับว่ามันถูกผ่าออกมา บางครั้ง ผู้คนแบกสุกรหลายตัวพร้อมกันไว้บนเสาไม้ไผ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดทรมานมาก จนเราหวังว่า เราตายเสียดีกว่า

พอมาถึงโรงฆ่า เราถูกโยนลงบนพื้น และหัวใจและอวัยวะภายในของเราถูกเขย่าราวกับว่า มันจะระเบิดออก สุกรบางตัวตายเพราะความเจ็บปวดอันสุดแสนจะทนทรมาน บางครั้งสุกรถูกมัดไว้เป็นเวลาหลายวัน โดยมีมีด เขียงหั่น และหม้อน้ำร้อนขนาดใหญ่ วางอยู่ด้านขวา เมื่อนึกถึงว่า มันจะเจ็บปวดแค่ไหนตอนที่ถูกเฉือนด้วยมีด และถูกถอนขนด้วยน้ำร้อน เราไม่สามารถหยุดสั่นตัวเองได้ บางครั้ง เมื่อนึกดูว่า เราจะถูกชำแหละแยกชิ้นส่วนและกลายเป็นเครื่องปรุงในหม้อซุป เรารู้สึกหมดอาลัยในความสิ้นหวัง”

“พออาตมากำลังจะถูกนำไปฆ่า อาตมารู้สึกหวาดกลัวและเวียนศีรษะ ทันใดที่อาตมาถูกคนชำแหละจับตัวไป สี่ขาของอาตมาอ่อนแรง หัวใจสั่น และจิตวิญญาณของอาตมารู้สึกราวกับว่า มันบินออกจากกลางกระหม่อมของอาตมาไป ตอนที่อาตมาถูกวางลงบนเขียงชำแหละ อาตมาไม่สามารถเผชิญหน้ากับใบมีดสะท้อนแสงนั้นได้ อาตมาจึงแค่ปิดตา และรอให้เขาเฉือนคอของอาตมา คนฆ่าเฉือนคอของอาตมาก่อน และตะแคงใบมีดเพื่อให้เลือดของอาตมาไหลลงไปในหม้อ ความเจ็บปวดนั้นเกินกว่าที่จะบรรยาย! เนื่องจากอาตมาไม่ได้ตายในทันใด



สิ่งเดียวที่อาตมาทำได้ก็คือกรีดร้องเสียงดัง หลังจากที่เลือดของอาตมาไหลออกไป คนฆ่าก็แทงไปที่หัวใจของอาตมา ซึ่งทำให้อาตมารู้สึกเจ็บจนถึงกระดูก และอาตมาไม่สามารถร้องตะโกนได้อีกต่อไป อาตมารู้สึกเข้าสู่ภวังค์อย่างช้า ๆ และรู้สึกราวกับว่า อาตมาเมาสุรา หรืออยู่ในความฝัน ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่อาตมาเกิด

“นานมาก...หลังจากนั้น... อาตมามองไปที่ตัวเอง และพบว่า จิตวิญญาณของอาตมา กลับสู่นรกอีกครั้ง ยมบาลตัดสินให้อาตมาเกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง หลังจากที่พบว่า อาตมาได้ทำความดีบางอย่างในชาติก่อน ในชาตินี้ พออาตมาเห็นสุกรที่กำลังจะถูกฆ่า และอยู่ในความทุกข์ตรม อาตมาก็นึกถึงความจริงที่ว่า คนที่กำลังฆ่าสุกรพวกนั้น จะผจญกับชาตาชีวิตเดียวกันในอนาคต แล้วอาตมาก็คิดถึงตัวเอง อาตมาร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้”

หลังจากที่พระท่านเล่าเรื่องนี้ของท่าน ให้กับนักฆ่า เขาก็วางมีดลงบนพื้นในทันใด และเปลี่ยนอาชีพไปขายผัก

โดย ชิ เซียว ลาน บทคัดลอกจาก “Observe All, Thatch Hut Note”

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 10 จบตอน)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ



***กรรมฐาน 40
.....การฝึกทั้งสี่สิบวิธีที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคต่างถูกต้องทั้งนั้น แต่ต้องเลือกฝึกให้ถูกกับอัธยาศัยของตน
เช่นพวกที่รักสวย รักงามติดรูป ติดเสียง ท่านให้ฝึกเพ่งอสุภะ จิตใจจะได้สลด ละรูป ละเสียงได้เร็ว แล้วเลือกวิธีอนุสติอื่นๆ ฝึกต่อไปจนกว่าจะเห็นมรรคผล
.....ส่วนพวกที่มีโทสจริตควรจะฝึกเพ่งกสิณ เพราะต้องเพ่งกำหนดอย่างสำรวยจริงจังทำให้ละโทสะได้เร็ว
.....บุคคลทั้งสองจำพวกดังกล่าว ถ้ายังฝึกฝนมายังไม่ดีพอ จิตใจยังคับแคบเข้าไม่ถึงแก่นแท้มักจะเป็นปากเสียงกันเอง หลงเข้าใจว่า วิธีของตนดีที่สุด ฝ่ายตรงกันข้ามเป็นฝ่ายผิด
.....ข้าพเจ้าฝ่ายการอบรมจากหลายครูมากอาจารย์ ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ทั้งพระทั้งมาร จนสามารถจะกล่าวได้ว่า วิธีการฝึกทั้งสี่สิบวิธีนั้น พอจะเข้าใจได้หลายส่วน
.....และสรุปได้ว่า การฝึกทั้งหมดที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหมวดใหญ่สามหมวดด้วยกันตามผลของการปฏิบัติเบื้องต้นว่า :-
.....หมวดที่หนึ่ง เมื่อฝึกแล้ว ถ้ายังไม่ไม่ถึงที่สุด จะเกิดความรู้นำหน้าแต่ยังไม่เห็น (รู้ไม่ทันเห็น)
.....ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราปิดสวิทซ์ไฟเราก็รู้ว่าไฟฟ้าจะวิ่งไปตามสายเข้าสู่หลอดไฟแล้วเกิดแสงสว่างแต่เราไม่เคยเห็นว่า ตัวไฟฟ้ามีรูปร่างลักษณ์เป็นอย่างไร
.....การฝึกในหมวดที่หนึ่งได้แก่ การเพ่งอสุภะและกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นต้น
.....เมื่อฝึกแล้วจะเกิดความรู้ในสภาวธรรมได้เร็วมาก รู้ว่าทำบุญย่อมได้บุญจริง ทำชั่วย่อมได้บาปจริง รู้ว่านรกมีจริงและสวรรค์ก็มีจริง
.....แต่พอถามว่าเคยเห็นหรือว่านรกและสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เคยเห็นแต่รู้ว่ามี หรือถ้าเห็นก็มักเห็นไม่ค่อยตรงตามร่อยรอยของพระศาสนาเต็มที่นัก
.....หมวดที่สอง เมื่อฝึกแล้วจะเห็นแต่ไม่มีความรู้ (เห็นไม่ทันรู้) ยกตัวอย่างเช่น
.....เด็กๆไปยืนอยู่ริมทะเลยามเช้า และเห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก ครั้งเย็นลงก็เห็ฯพระอาทิตย์ลับไปทางทิศตะวันตก
.....เห็นวนเวียนอย่างนี้ทุกวัน แต่เด็กไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าโลกกลม
.....การฝึกในหมวดนี้ ได้แก่การฝึกเพ่งกสิณต่างๆ เช่น เพ่งวงกลมดิน วงกลมน้ำเป็นต้น แต่เอาจิตไปตั้งไว้นอกกาย เช่นตั้งไว้ที่วงกลมเหล่านั้น
.....เมื่อฝึกจนเห็นนิมิตดวงกสิณแล้วก็สามารถจะเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าหรือนรกสวรรค์ได้
.....ขณะที่อยู่ในสมาธิเขาอาจะเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าว่า นาย ก. ถ้าออกจากบ้านไปในวันนี้จะต้องถูกรถยนต์ชนตาย แต่ก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
.....หรือเห็นว่า นาย ข. ถ้าออกจากบ้านในวันนี้จะต้องไปได้ลาภ แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเช่นกัน
.....ทั้งนี้เพราะการเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร จึงทำให้เกิดความงามงายคือเชื่อดวง แทนที่จะเชื่อกรรม
.....ผู้ที่ฝึกในหมวดที่หนึ่งมักจะไม่ยอมเชื่อว่า ผู้ที่ฝึกในหมวดที่สองสามารถเห็นอะไรแปลกๆได้
.....และผู้ที่ฝึกในหมวดที่สองก็มักจะไม่เชื่อว่าผู้ที่ฝึกในหมวดแรกจะรู้อะไรเกินกว่าที่ตัวเขารู้ได้
.....บุคคลที่ฝึกในสองหมวดแรกนี้จึงมักจะเป็นปากเสียกันบ่อยๆ
.....ต้องให้พวกที่ฝึกหมวดที่สามเป็นผู้ตัดสิน แก้ข้อข้องใจให้
.....หมวดที่สาม การฝึกในหมดที่สามนี้ ทำให้เกิดความรู้และสามารถเห็นได้ แม้จะฝึกค่อนข้างยากกว่าสองหมวดแรกบ้าง แต่มีประโยชน์มหาศาล
.....ผู้ที่ฝึกจะเห็นภาพการกระทำของนาย ก. ตั้งแต่อดีตชาติจนปัจจุบัน ตลอดจนอนาคต
.....และจะรู้ด้วยว่าเนื่องจากผลกรรมปาณาติบาตจึงทำให้เขาถูกรถชนตาย
.....และทั้งรู้ทั้งเห็นว่าที่นาย ข. ออกจากบ้านจะได้ลาภ เพราะผลทานในอดีตและปัจจุบันได้ตามมาทันแล้ว
.....สำหรับผู้ที่ฝึกในหมดที่หนึ่ง เมื่อเกิดความรู้แล้ว ถ้าต้องการให้เกิดความรู้แล้ว ถ้าต้องการให้เกิดความเห็นเหมือนอย่างในหมวดที่สามด้วย ก็จะทำได้ง่ายมาก โดยการเปลี่ยนที่ตั้งจิตใหม่
.....เป็นต้นว่า เคยตั้งจิตไว้ที่หน้าท้องหรือปากช่องจมูก ครั้งกำหนดลมหายเข้าออกจนจิตสงบดี มีความสว่างหรือเห็นดวงสว่างขนาดต่างๆ กันเกิดขึ้นลอยคว้างอยู่ข้างหน้าแล้ว
.....ก็ให้น้อมเอาดวงสว่างนั้นเข้าไปไว้ภายในท้อง ตรงกลางกาย
.....(นึกขึงเส้นด้ายสองเส้นให้ตึงตรงเหนือสะดือสองนิ้ว น้าทะลุหลัง ขวาทะลุซ้า ตรงจุดกึ่งกางที่เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเรียกว่า กลางกาย)
.....ดาวงสว่างที่เห็นจะขยายใหญ่เต็มที่สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมกัน แล้วมองเข้าไปตรงศูนย์กลางดวงสว่างนั้นไม่ยอมถอน
.....ก็จะเกิดความรู้และสามารถเห็นพร้อมกันไป
.....สำหรับผู้ที่เคย เพ่งกสิณและเพ่งเทียน ก็เช่นกัน
.....ให้น้อมเอาดวงกสิณไปไว้ตรงกลางกายตามวิธีดังกล่าวก็จะสามารถเห็นนิมติได้ชัดขึ้นกว่าเดิม
.....แล้วกำหนดจิตอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ เหมือนพวกที่ฝึกในหมวดแรกก็จะเกิดทั้งความรู้และความเห็นเช่นกัน จะได้ไม่ต้องเป็นปากเป็นเสียงกันต่อไป
.....สำหรับผู้ที่ฝึกใหม่ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ฝึกในหมวดที่สามโดยตรง
.....จะสามารถเรียนลัดย่นระยะการฝึกลงได้หลายสิบปี และสามรถจะรู้เห็นได้ไกลกว่าพวกที่ฝึกในสองหมวดแรก
.....หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ล่วงลับไปแล้วก็ฝึกอยู่ในหมวดที่สาม
.....จึงถูกผู้ที่ไม่รู้จริงกล่าวร้ายถึงกับมีคณะกรรมการสงฆ์ไปสอบสวนว่าท่านหลอกลวงประชาชน
.....แต่ยังนับว่าเป็นโชคดีของชาวพุทธทุกคน ที่ไม่ต้องสูญเสียวิธีปฏิบัติธรรมอันชาญฉลาดในหมวดที่สามไป
.....คณะกรรมการสงฆ์ที่ส่งไปสอบสวนในครั้งนั้นได้มีอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ร่วมไปด้วย
.....ท่านรูปนี้มีความรู้แตกฉานในการฝึกสมาธิวิปัสสนากรรมฐานทั้งสี่สิบวิธี ให้คำยืนยันว่าการปฏิบัติธรรมของวัดปากน้ำภาษีเจริญ ถูกต้องทุกประการหลวงพ่อจึงพ้นมลทินฯ

***ส่งท้าย
.....เมื่อท่านอ่านบันทึกนี้แล้ว หวังว่าท่านคงจะได้ข้อเตือนใจให้ละทิ้งวิชามาร หันมาปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องร่องรอยของพระศาสนา
.....อย่าปล่อยให้ราศีดำขึ้นจนเต็มหน้าจะยากต่อการแก้ไข สิ้นชีวิตแล้วะต้องตกนรก พ้นเวรจากนรกก็จะมีมิจฉาทิฏฐิติดตัว
.....แม้จะไปพบพระพุทธเจ้าเบื้อหน้าอีกก็จะถูกมารชักจูงให้หลงเป็นพวกเดียรถีย์ทำลายศาสนาก่อบาปกรรมอีกมากมาย
.....สำหรับท่านที่เดินถูกทางมาแล้วก็ขอให้เดินต่อไปอย่าเห็นแก่เหน็ดเหนื่อยและอย่าประมาท
.....พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระมงคลเทพมุนีเคยเตือนสติเสมอว่า
.....ชนโคควายทั่วกายเท่าใดเล่า
.....แต่มีเขาเพียงคู่ไว้สู้สิงห์
.....หวังนิพพานล้านแสนแม้นทำจริง
.....ทั้งชายหญิงรอดไปไม่กี่คน
.....วัวแต่ละตัวมีเขาเพียงคู่เดียว แต่มีขนจำนวนมากมาย ฉะนั้นใครต้องการจะหลุดพ้น ซึ่งเปรียบเสมือนเขาโคก็ต้องเร่งระวังตนอย่าประมาท
.....สำหรับอาจารย์ทุกท่าน ที่เคยอุปการะเลื้ยงดูและรักข้าพเจ้าประดุจบุตร มีความปรารถนาดีต่อข้าพเจ้าตลอดมา
.....พระคุณของท่านใหญ่หลวงนัก และยังตรึงฝังแน่นในดวงใจไม่รู้คลาย
.....ทุกท่านที่สอนวิชามารให้ข้าพเจ้าก็เป็นเพราะรู้เท่านไม่ทันเหลี่ยมมารย่อมได้รับการอภัยจากท่านผู้อ่าน และการที่ข้าพเจ้าเขียนตำหนิวิชามาร ก็เพื่อต้องการชี้แจงเหตุผลและข้อเท็จจริง
.....ถึงแม้จะเป็นการแระทบกระเทือนกันบ้างก็ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ครูอาจารย์ ข้าพเจ้าอาจถือเอาบุญคุณส่วนตัวมาบิดเบือนความจริงอันเป็นประโยน์ต่อส่วนรวมและพระศาสนา
.....ทั้งนี้ย่อมถือได้ว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ไม่เคยคิดจะล้างครู แต่เป็นศิษย๋ที่ยิ่งด้วยศิษย์ เพราะอาจารย์สามารถใช้สอยและพึ่งพาได้

เผด็จ ผ่องสวัสดิ์
9 ธันวาคม 2512

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 9)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


***บุญเก่า
.....ก่อนที่จะสายเกินไปและวันนั้นคือวันที่ข้าพเจ้าสิ้นเวรเลิกล้มการฝึกวิชารมาร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสิ้นมารที่ต้องต่อสู้ตามล้างผลาญกันต่อไป
.....มีใครบางคนกล่าวว่า ถ้าไม่วิ่งเผลอไปเอาหัวชนฝาเข้าสักโครมสองโครมแล้วละก็จะยังไม่ได้คิด แต่เมื่อใดวิ่งไปเอาหัวชนฝาชนิดจังๆ เข้าก็จะเกิดความสว่างไสวทันที
.....มันก็เข้าทำนองที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงทรมานพญานาคกับพวกชฎิลจึงจะได้คิดว่า อ้อ! ที่เราทำไปแล้วนั้นผิดทั้งเพ
.....ข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนผู้วิ่งเอาหัวไปชนฝาเสียก่อนจึงได้คิด
.....มันเป็นวันประวัติศาสตร์ของวงการฝึกสมาธิก็ว่าได้ วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2510 เป็นเวลาเช้า ข้าพเจ้านั่งดับพิษน้ำมัน
.....(เอาน้ำมันมะพร้าวต้มให้เดือด ใช้สมาธิจิตเพ่งและใช้ภาวนาคาถากำกับ ถึงแม้น้ำมันจะกำลังเดือดอยู่ แต่จะไม่รู้สึกร้อนถ้าเอามือจุ่มลงไป อย่างมากก็จะรู้สึกอุ่นๆ แต่ไม่ถึงกับพอง)
.....มีผู้ดูซึ่งเป็นเพื่อสนิทหลายคนและเคยเห็นข้าพเจ้าดับพิษน้ำมันมาก่อนแล้วเกือบทั้งนั้น
.....แต่ครั้งนี้ข้าพเจ้าเอามือจุ่มลงไปในน้ำมันครั้งใดเป็นพองทุกที มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้าดับพิษน้ำมันไม่ลงเพราะอะไรหรือ?
.....ข้าพเจ้ากลับไปนอนคิด ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่วิชาเหนียวคงกะพัน สะกดจิต ใส่ปรอด สะเดาะโซ่ตรวน
.....ซึ่งข้าพเจ้าเคยทำได้ผลมาก่อนก็พลันเสื่อมไปหมดไม่สามารถจะทำได้อีก ทั้งๆที่สมาธิของข้าพเจ้ายังดีเหมือนเดิม
.....สิ่งที่หนึ่งที่ข้าพเจ้าสังเกตคือ ทุกครั้งที่ทำการแสดงการใช้อำนาจจิตไม่ได้ผล
.....จะต้องมีบุคคลสองคนนี้ร่วมชมด้วยทุกครั้งคือ คุณอุดม พูลเกษ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคุณไชยบูลย์ สุทธิผล
.....ทั้งสองท่านที่กล่าวมานี้ ในระยะต่อมาจึงได้ทราบว่า ต่างเป็นนักฝึกสมาธิของสำนักวัดปากน้ำ ภาษีเจริญและฝึกจนบรรลุธรรมกายมาแล้วทั้งคู่
.....ไม่เพียงแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ไม่สามารถใช้อำนาจจิต ตามแบบฉบับของมารได้
.....แม้แต่อาจารย์ของข้าพเจ้าผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วประเทศก็เช่น เดียวกัน ต่อหน้าบุคคลทั้งสองนี้แล้วทำอะไรไม่ศักดิ์สิทธิ์เลย
.....คำอธิบายสั้นๆ จากคุณไชยบูลย์คือ
.....คนเราถ้าจะเปรียบแล้วก็เหมือน ตู้วิทยุ สมาธิเปรียบเหมือนเครื่องรับวิทยุ ภายในตู้
.....ถ้าเครื่องดีก็สามารถรับคลื่นเสียงได้ชัดเจน ทั้งคลื่นสั้น คลื่นยาว ทั้งในระยะไกลและใกล้
.....ส่วนจะเลือกรับคลื่นที่ส่งมาจากมารหรือจากพระนั้น แล้วแต่ผู้ฟังหรือจิตของเราเองว่าจะฝักใฝ่ไปในทางใด
.....เพราะข้าพเจ้าหลงไปรับฟังหรือเลือกรับเฉพาะคลื่นของฝ่ายมารมาตลอดเวลา จึงทำวิชามารได้ศักดิ์สิทธิ์
.....แต่เมื่อบุคคลทั้งสองนี้ซึ่งก็เปรียบเหมือนสถานีย่อยของฝ่ายพระมาอยู่ใกล้ๆ
.....คลื่นจิตฝ่ายมารไม่สามารถส่งถึงหรือถูกรบกวนอย่างหนัก ข้าพเจ้าจึงใช้อำนาจจิตฝ่ายมารไม่ได้ผล

***ฝึกธรรมกาย
.....เมื่อรู้ตัวเช่นนี้ เรื่องอะไรข้าพเจ้าจะเป็นตัวสื่อสารให้มารมันต่อไป จึงเริ่มฝึกเรียนวิชาธรรมกายทันที จากคุณไชยบูลย์
.....ในระยะ 3 เดือนแรก มันช่างทรมานใจอะไรอย่างนั้น ไม่มีอะไรอีกแล้วจะทรมานไปกว่านี้
.....ขณะนั่งฝึกสมาธิ ถ้าจิตเคลื่อนไปจากที่ตั้งแม้เท่าปลายเข็ม อาจารย์มารที่ล่วงลับไปแล้วต้องตามมารังควานทันที
.....เหมือนกับเวลาปรับคลื่นวิทยุ ถ้าเคลื่อนไปนิดเดียวจะมีคลื่นอื่นเขามารบกวนทันที
.....วิธีรังควานของมันก็คือนิมิตให้เห็นเป็นภาพน่าเกลียดน่ากลัวหลอกหลอนต่างๆ นานา
.....ฝ่ายอาจารย์สอนดับพิษไฟให้ก็ร้าย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกจับโยนเข้าไปกลางกองไฟ
.....พอลืมตาขึ้นก็หายไป แต่พอหลับตาก็เป็นอีก
.....บางทีก็เห็นและรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบจนปวดกระดูก แน่นอน ต้องเกิดจากอาจารย์มารเจ้าของวิชาธนูมือ
.....จะแผ่เมตตาเท่าใดมันก็ไม่ยอมเลิก จนอาจารย์ฝ่ายพระต้องลงมือควบคุมอย่างใกล้ชิดอาการต่างๆ ดังกล่าวจึงหายไป
.....ต่อมาข้าพเจ้าได้ติดตามคุณไชยบูลย์ไปวัดปากน้ำภาษีเจริญ เพื่อจะปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ไปวัดปากน้ำ
.....ครั้งแรกไปเมื่ออยู่ชั้นมัธยมหก แต่มารดลใจให้แลเห็นพระเป็นมาร
.....พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ สอนให้ฝึกวิชาธรรมกายซึ่งเป็ฯวิชาฝ่ายพระโดยตรงข้าพเจ้ากลับปฏิเสธ
.....เพราะมีความเห็นว่า “เรียนแล้วทำให้หนังเหนียวไม่ได้ วิชาคงกระพันดีกว่า” หาได้นึกไม่ว่า ถึงหนังเหนียวก็ไม่สามารถทำให้พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายได้
.....เมื่อย้อนกลับมาเป็นคำรบสอง ก็ต้องเสียใจมาจนเท่าทุกวันนี้
.....เพราะเจ้าคุณพ่อลาโลกไปแล้ว แต่ได้ฝากวิชาธรรมกายไว้ให้พวกเราได้ศึกษากันต่อไป
.....อย่างมากที่ข้าพเจ้าจะทำได้ก็คือเข้าไปกราบที่ประดิษฐานศพของท่าน ขอขมาที่ได้ล่วงเกินไม่เคารพ และตั้งใจปฏิบัติธรรมไปกว่าชีวิตจะหาไม่

***เหตุหลงทาง
.....อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าและผู้ใฝ่ธรรมอื่นๆหลงทาง?
.....ประการที่หนึ่ง ที่ทำให้ผู้ใฝ่ธรรมหลงทางคือ การสั่งสอนกันมาผิดๆ ของผู้ที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์และไม่มีใครยอมแก้ไข
.....ยกตัวอย่างพอจะเห็นได้ชัด เช่น
.....พระพุทธเจ้าสอนให้มีเมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข พระองค์ยังทรงบ้ำต่อไปอีกว่า
.....ศัตรูสำคัญของ เมตตา คือ ราคะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังมีผู้ที่ตั้งตนเป็นอาจารย์ทำเสน่ห์ยาแฝด
.....ทำให้ผู้อื่นเกิดราคะความรักใคร่ฐานชู้สาว ที่หลงเรียกกันว่า “เมตตามหานิยม” ผู้ที่หลงงมงายก็เลยพากันขึ้นต้นงิ้วไปตาม ๆ กัน
.....ประการที่สอง คือพระภิกษุอุตริ พวกนี้เป็นพระสักแต่ว่าเอาผ้าเหลืองมาห่ม ศีลสิกขามีอยู่สองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อก็ถือไม่ได้แม้แต่ศีลห้า
.....เพื่อลาภสักการะหรือชื่อเสียงจอมปลอมว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์แสดง อภินิหารว่าตัวของอาตมาแน่ ทำการปลุกเสกเลขยันต์ใบ้หวยต่างๆ นานา ทำให้คนหลงผิด
.....ประชาชนที่ด้อยปัญญาก็หลงสักการะว่า ตะกรุดคือธรรมะ ผ้ายันต์คือที่พึ่ง ตัวผู้สร้างคือผู้วิเศษ
.....ส่วนผู้มีปัญญาเมื่อพบเข้าก็หมดศรัทธาที่จะเข้าวัด ทั้งๆที่อยากจะเข้า
.....ประการที่สาม ทีทำให้ผู้ใฝ่ธรรมะหลงผิด และนับว่าเป็นสาเหตุร้ายแรงที่สุด
.....คือผู้ที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์มีประสบการณ์การฝึกสมาธิและวิปัสสนาน้อย เกินไป ยังไม่เข้าใจซึ้งถึงการฝึกสมาธิทั้ง 40 วิธีที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
.....จึงเกิดการใส่ร้ายป้ายสีระหว่างนักปฏิบัติด้วยกันเป็นที่น่าอับอายอย่างยิ่ง เป็นรอยมลทินอย่างใหญ่หลวงของพระพุทธศาสนา
.....ชอบพูดถากถางกันว่า สำนักนั้นเป็นสมถะ สำนักนี้เป็นวิปัสสนา แทนที่จะมาเข้าวัดเพื่อขุดกิเลสออกทิ้งกลับพอกพูดกิเลสให้มากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 8)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


***วิชาใส่ปรอท
.....ข้าพเจ้ายังศึกษาวิชามารต่อไปเรื่อยๆ จากสำนักหนึ่งไปยังอีกสำนักหนึ่ง จนกระทั่งวิชาสุดท้ายที่เรียนคือ วิชาไอ้ปรอท
.....ปรอท เป็นโลหะเหลวๆ กลิ้งไปไหลมาเหมือนน้ำกลอกกลิ้งอยู่บนใบบัว
.....เมื่อใช้สมาธิบวกเข้ากับคาถาและการส่งพลังจิตตามแบบของมาร ปรอทจะแตกตัวในรูปของปรมาณูและอณูแทรกหายเข้าไปในเนื้อ
.....เมื่อเข้าสู่ร่างกายของผู้ใดแล้ว จะเป็นผลได้สมใจนึกของผู้นั้นตามแต่แรงอธิษฐาน (แค่ก็มีขีดจำกัดและมักไม่ได้ผลในระยะหลัง)
.....วิชาปรอทเป็นวิชาสุดยอดของฝ่ายมาร ในชีวิตที่ข้าพเจ้าผจญมา มันเป็นมารตัวใหญ่จริงๆ เป็นมารที่ยิ่งด้วยมาร
.....ท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า มีศิษย์คนหนึ่งเมื่อเรียนวิชาปรอทไปแล้วและโดยสันดานเดิมของเขาก็ร้ายนัก เคยติดคุกติดตะรางมา
.....เมื่อเวลาเสกธนูมือก็จะเอาปรอทใส่ลงไปด้วย หากผู้ใดถูกชกต่อยทุกตีตรงไหน ก็จะเจ็บปวดรวดร้าวไปทุกขุมขนเหมือนโดนหัวขวานทุบ
.....เมื่อต้องการจะเข่นฆ่าผู้ใดขอเพียงให้ได้สัมผัสมือแล้วเพ่งจิตแรงๆ ปรอทในตัวจะพุ่งเข้าใส่บุคคลที่ต้องการทำร้าย โดยผู้ถูกทำร้ายไม่รู้ตัวเลย
.....ทันทีทันใดบุคคลผู้นั้นจะมีอาการคล้ายกับคนแพ้ปรอทคือชักตาตั้ง น้ำลายฟูมปาก โลหิตออกมาตามขุมขนและตายในไม่กี่นาที
.....มันเหี้ยมโหดทารุณน้อยอยู่หรือ?
.....วิชามารที่กล่าวมาทั้งหมดถึงจะเหี้ยมโหดและศักดิ์สิทธิ์เพียงใดก็ตาม แต่หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น คือทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตนเอง ใครทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว
.....ดังนั้นการทำเสน่ห์ล่อลวงให้ผิดประเวณีจะทำสำเร็จได้เฉพาะบุคคลที่มีกรรมกาเมในอดีตชาติมากๆ
.....การบิดไส้บังฟังก็จะทำให้เฉพาะผู้ที่เคยจองเวร เคยเข่นฆ่ากันมาในอดีตชาติเท่านั้น
.....ไม่สามารถทำเสน่ห์ล่อลวงหรือทำร้ายผู้ที่สร้างสมบุญมาดีหรือผู้มีศีลธรรมได้เลยเป็นอันขาด
.....เป็นเวลาถึง 11ปีเต็มที่ข้าพเจ้าหลวมตัวไปมั่วสุมอยู่กับกลุ่มมาร ในระยะ 11ปีที่หมั่นเคี่ยวทุกคืนวัน
.....แม้กระทั่งเมือไปศึกษาต่อยังต่างประเทศก็ไม่ยอมละทิ้งกลับไปคบกับพวกพ่อมดหมอผีในต่างประเทศอีก
.....ผลที่ได้ก็คือภาวะระดับจิตถึงแม้จะเด็ดเดียวเข้มแข็งก็จริง แต่มันแฝงได้ด้วยความเหี้ยมหาญและบ้าบิ่นผิดมนุษย์
.....ครั้งหนึ่งที่พึงฝึกฝนวิชามารก็เหมือนกับครั้งหนึ่งซึ่งได้เชือดเนื้อเถือหนังตนเอง
ฉะนั้น
.....โชคดีที่บุญเก่าในอดีตชาติยังพอมี ทำให้ผู้เลี้ยงผู้รักษาที่ลงคุ้มครองแต่วันที่ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ได้ติดตาม รักษาชีวิตข้าพเจ้าไว้และได้นำข้าพเจ้าไปเห็นแสงสว่างอีกครั้ง

ผจญมาร (ตอนที่ 7)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ



***เข้าทรงโกหก
.....เมื่อหายดีแล้ว ข้าพเจ้าก็ฝึกฝนต่อไป ถึงการเลี้ยงผี ไล่ผีจากท่านอาจารย์หลายท่านตลอดจนการเข้าทรงด้วย
.....คราวนี้โชคดีเป็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้พบความจริงว่า
.....การเข้าทรง 100% เป็นเรื่องของการโกหก
.....ทำไมจึงโกหก?
.....ประการแรก ในการเข้าทรง วิญญาณที่จะมาเข้าจริงๆเพียงประมาณไม่เกิน 40 %
.....ส่วนอีก 60% เป็นการเข้าหลอกๆ คือคนทรงแกล้วทำท่าวิญญาณมาเข้า แล้วแสดงเอง
.....หรือถ้าไม่แกล้งก็เกิดจากความเคยชิน จึงแสดงอาการประดุจผีเข้าคือเริ่มจะเป็นผีตั้งแต่ก่อนตายนั่นเอง
.....ประการที่สอง วิญญาณที่มาเข้าจริงๆนี่แหละแต่ละตัวต้องอ้างตนว่าเป็นเทพองค์นั้น พรหมองค์นี้ทุกราย
.....อ้างว่าตัวเป็นโพธิสัตว์มาเข้าบ้างก็มี เป็นหลวงพ่อทวดมาเข้าบ้างก็มี โกหกทั้งนั้น
.....วิญญาณของพวกเทพหรือ ผู้มีธรรม ท่านไม่ยอมลงมาหรอก กลิ่นสาบมนุษย์มันแรง ท่านเหม็นสาบมนุษย์จะแย่อยู่แล้ว)
.....ไอ้พวกที่มาเข้าล้วนเป็นพวกผีไม่มีญาติหรือตายโหงเสียโดยมาก หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นพวกวิญญาณของพวกที่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เป็นคนเลวแสนเลว
.....”บางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมนะพวกเข้าทรงจึงสามารถทายอะไรต่ออะไรได้ถูกต้องแม่นยำราวกับตาเห็น
.....ได้บอกแล้วว่าวิญญาณที่มาเข้าทรงเป็นพวกปีศาจต่ำๆมันเหล่านั้นจะต้องร่อนเร่พเนจร ใช้กรรมของมันไปจนกว่าจะสิ้นเวร
.....ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆ พันๆปี บางตัวอาจเป็นหมื่นปีก็มี เมื่อมันอายุยืนอย่างนี้ เหตุการณ์ในอดีตมันจึงสามารถบอกได้หมด
.....และมีพวกพ้องบอกข่าวส่งต่อๆกันไปตามแต่อำนาจฤทธิ์ตบะฝ่ายมารที่มันทำมา
.....มันจึงสามารถพูดทายได้แม่น ทำให้เราหลงกลัวเกรงนับถือเป็นการตัดไม้ข่มนาม
.....ในเวลาเดียวกันมันก็จะเริ่มขู่เท่านั้นเท่านี้ตามวิสัยผี วิสัยเปรตจนกระทั่งเราตกใจกลัว
.....คราวนี้มันจะเริ่มทายอนาคต แต่คนทรงไม่อาจบอกอนาคตที่แท้จริงได้ นอกจากเดาเอาผิดบ้างถูกบ้างไปตามเรื่อง
.....เพราะวิญญาณหรือปีศาจเหล่านั้นที่มาเข้าทรงจะรู้ได้แต่เพียงอดีตกับปัจจุบันเท่านั้น มันไม่รู้อนาคต
.....ถ้ามันรู้อนาคตมันคงไม่ต้องมาเป็นเปรต ดังนั้นเมื่อไร่มันทายอนาคต เมื่อนั้นมันก็กำลังโกหกทุกครั้งที่ท่านไปหาหมอผีคนทรงเข้าจะต้องทายอนาคต
.....นี่แหละทำไมข้าพเจ้าจึงว่า การเข้าทรงเป็นการโกหก 100 %
.....เรื่องทรงเจ้าเข้าผีขณะนี้ยิ่งน่าเศร้าใจ คนส่วนมากนิยมไปกราบไหว้บูชาคนทรง หรือบูชาภูตผีปีศาจ
.....ท่านทั้งหลายก็คงทราบดีอยู่แล้วว่า เรื่องของผีก็คือจะหลอกคน ฉะนั้นคบคนทรงก็เหมือนคบคบโกหกหลอกลวงโลกนั่นเอง
.....ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งหนึ่งสำหรับท่านที่นิยมทรงเจ้าเข้าผีว่า มันเป็นเรื่องของการโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น
.....ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่คบค้าสมาคมกับคนทรงหรือหมอผี ไม่ช้าจะวิบัติ อย่าว่าแต่ผู้มีสมาธิจิตธรรมะดาเลย
..... แม้แต่พระภิกษุและผู้ที่มีสมาธิสูงๆ ถ้าไปยุ่งกับเรื่องผีๆ สางๆ ไม่ช้าก็ต้องวิบัติ
.....จะยกตัวอย่างให้ท่านฟังอีกเรื่องหนึ่ง
.....มีพระภิกษุรูปหนึ่งทรงความรู้ความสามารถในด้านการฝีกสมาธิ จนได้รับฉายาว่าพระฤาษีแห่งสำนักเขาสวนกวางจังหวัดขอนแก่น
.....มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านปริยัติและด้านปฏิบัติอย่างยิ่ง จนเป็นที่ยกย่องในหมู่ของนักฝึกสมาธิด้วยกัน มีลูกศิษย์ลูกหามามาย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นศิษย์ผู้พี่ของท่านพ่อลีวัดอโศการามผู้ล่วงลับไปแล้ว
.....ความสามารถและกิตติศัพท์ของพระฤๅษี ผู้นี้ระบือไปไกลจนมีข่าวลือว่า ท่านคือพระศรีอารย์มาเกิด
.....ต่อจากนั้นไม่นานนักก็ได้ข่าวมาอีกว่า ท่านทรงเจ้าเข้าผี
.....พอทราบว่าข่าวนี้ข้าพเจ้าก็นึกสงสารอยู่ลำพังว่าเอาอีกแล้ว มามันหลอกได้อีกคนหนึ่งแล้ว และยังเป็นพระผู้ใหญ่ได้บำเพ็ญเพียรมาแรมปีอีกด้วย
.....อีกไม่ช้าคงจะถึงกาลวิบัติ ข้าพเจ้าคิดคนเดียว ไม่เคยปรารภกับใคร
.....จริงดังคาด ไม่กี่เดือนต่อมาได้ข่าวว่าท่านสึกเสียแล้ว อยู่ไม่ได้ เพราะลำพังกิเลสตัณหาที่เผาผลาญเราทุกวันนี้ ก็ยากจะอดกลั้นทนทานได้
.....ยิ่งหลงกลมารเหล่านี้ซ้ำเข้าไปอีกก็เหมือนกับเอาน้ำมันราดบนกองไฟ ฉะนั้นทราบเถิดว่า มารไม่เคยปรารถนาดีต่อใคร
.....ใบหน้าของข้าพเจ้ายิ่งหมองคล้ำ ราศีดำ ยิ่งรับมากขึ้นๆ จิตใจยิ่งเย็นชากระด้างขึ้นทีละน้อยๆไม่รู้ตัว
.....ยังไม่หมดเท่านั้น ข้าพเจ้าเริ่มแปลกใจยิ่งขึ้น เพราะไม่ว่าจะไปทางไหน ดูมันช่างเป็นที่สนิทเสน่หาของเหล่าอันธพาลทั้งหลาย ทั้งๆที่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยไปคบค้าอะไรกับพวกมันเลย
.....เพิ่งจะมาทราบต่อภายหลังว่า คนเราทุกคนมีอายตนะดึงดูดกันอยู่ภายใน คล้ายกับเครื่องรับส่งวิทยุหรือโทรทัศน์ ความถี่ของคลื่นส่งมีเท่าไร คลื่นรับจะต้องมีเท่านั้น
.....ในเมื่อข้าพเจ้ามีอายตนะดึงดูดเป็นของมาร มีคลื่นมารแล่นอยู่ทั่วตัวทุกอากัปกิริยาต่อท่า “ข้านี้แหละตัวมาร”
.....ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่พวกมารหรือพวกอันธพาล ซึ่งมีราศีดำด้วยกันจะชอบชิดข้าพเจ้า
.....ยิ่งปรารภความเพียรแรงกล้าขึ้นมากเท่าใดไฟนรกก็โหมสุมใส่ประดังมาบนร่างกายและจิตใจของข้าพเจ้ามากขึ้นเท่านั้น
.....ยามกินยามนอนยากยิ่งจะหาความสุข มันทำให้เร่าร้อนทุรนทุรายเป็นทวีคูณซึ่งเรียกกันว่า ร้อนวิชา

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 6)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ



***สะเดาะโซ่ตรวน
.....หลังจากฝึกวิชาสะกดจิตจนชำนาญแล้ว มารร้ายก็ส่งเสริมชุกจูงข้าพเจ้าให้ไปพบกันไอ้เสือเก่าผู้หนึ่งซึ่งถอดเขี้ยวถอดเล็บและชราภาพแล้ว
.....ไม่ทราบว่าท่านติดอกติดใจข้าพเจ้าอย่างไร จึงสอนวิชาสะเดาะโซ่ตรวนให้
.....ข้าพเจ้าสะเดาะมันได้จริงๆ
.....จะว่ากุศลผลบุญในอดีตชาติที่สะสมมาดีแล้ว หรือมโนธรรมประจำใจอันดีที่พ่อแม่อบรมมาแต่เล็กแต่น้อยก็ตาม
.....ตลอดเวลาข้าพเจ้าไม่เคยใช้วิชาสะกดจิตไปทำร้ายผู้ใด ไม่เคยใช้ไปในการกระทำชู้สาว
.....และจนกระทั่งเรียนสะเดาะโซ่ตรวนมาก็ไม่เคยไปตัดช่องย่องเบา หรือโจรกรรมผู้ใดแต่ใจมันก็อยากจะลองวิชาอยู่เสมอ เพราะเชื้อมารมันเข้าไปฟักอยู่ในใจแล้วนั่นเอง
.....ท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังถึงศิษย์รุ่นพี่ของข้าพเจ้าว่า หลังจากเรียนวิชาสะกดจิตซึ่งเรียนควบคู่กับการทำเสน่ห์
.....แล้วไม่ช้าไม่นานเขาก็เที่ยวก่อกรรมทำเข็ญ ต้องสะกดจิตเอามาบำเรอกามให้จนได้ ไม่เป็นอันทำมาหากิน
.....ครั้นเมื่อหมดเงินหมดทองไม่มีใช้สอย ก็ใช้วิชาสะเดาะกลอนเที่ยวงัดแงะโจรกรรมและไปตายในคุกเป็นที่สุด
.....วิชาดังกล่าวข้างต้นนั้นหลังจากข้าพเจ้าทั้งเคี่ยวทั้งลับทั้งฝนอยู่4-5 ปี ก็กล้ากล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า
.....ต่อให้ขุนแผนตัวจริงกลับชาติมาเกิด ก็ไม่แน่ว่าจะทำอะไรข้าพเจ้าได้ง่ายๆ
.....เมื่อเรียนวิชามารมากขึ้นนิสัยของข้าพเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยๆ ตัวเองก็ไม่รู้สึก จากเด็กหัวโจกในหมู่บ้านกลายเป็นหัวโจกของอำเภอและจังหวัดไปตามลำดับ

***ธนูมือ
.....ยิ่งวิชาหลังๆที่ข้าพเจ้าเสาะเรียนมายิ่งทำให้ข้าพเจ้าห่างจากพระศาสนามากขึ้นทุกทีๆ
.....ข้าพเจ้าเรียนวิชาธนูมืออีกวิชานี้ใครๆ ก็รู้จักได้ยินกันแต่โบราณ แต่ผู้ที่จะทำได้จริงๆ จะต้องฝึกสมาธิตามแบบของมารได้พอสมควร ไม่ใช่แต่ว่าเอาน้ำหมึกมาสักเลขยันต์ลงบนฝ่ามือเท่านั้น
.....วิชานี้เรียนเพื่อไว้ฆ่ากันชัดๆ เพราะถ้าค่อยด้วยวิชาธนูมือแล้ว หากโดนใครเข้า ผู้นั้นถ้าไม่เป็นอันต้องกระดูกหักตายไปคาหมัด ก็ต้องทรมานต่อมาด้วยคาถาอาคมที่ประจุอยู่ ถ้าจะให้วิชานี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นก็ต้องใช้ว่านและน้ำมันพรายประกอบด้วย
.....ดูเอาเถิดท่านผู้อ่าน ข้าพเจ้าถลำตัวเข้าไปจนจะกลายเป็นฆาตกรอยู่แล้ว
.....ข้าพเจ้าไม่ยอมหยุดเพียงเท่านั้น เสาะเรียนมันต่อไป ทั้งบิดไว้ บังฟัน ยาสั่ง และอื่นอีกร้อยแปดจิปาถะ
.....ตลอดไปจนกระทั่งฟันดาบกระบี่กระบอง (เคยชนะฟันดาบสองมือประเภทมหาวิทยาลัย และได้ถ้วยมากนักเรียนจากต่างประเทศ)
.....มาทราบภายหลังเมื่อฝึกธรรมะจริงๆ แล้ว จึงได้รู้ว่าอดีตชาติเคยเป็นโจรมาก็มาก เป็นทหารมาก็มาก แต่ละชาติก็มีใจฝักใฝ่ต่อเรื่องเหล่านี้
.....แต่ก็โชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือแต่ละชาติที่ผ่านมา ยามท้ายชีวิตก็หันหน้าเข้าบวชเรียนเอาแต่ธรรมะโดยตรง
.....ฉะนั้นบุญที่สะสมมาจึงพาให้เกิดสนใจใฝ่ทางธรรม แต่กรรมที่สร้างไว้จึงดลใจให้มารลวงเอา

***ราศีดำ
.....วิชาร้ายๆ เหล่านี้แม้จะยังไม่ได้ใช้ออกไปทำลายใคร
.....แต่มีเอาไว้ก็เป็นเสนียดแก่ตัวเอง หมดสง่าราศี จิตใจใฝ่ดีก็ยาก และสิ่งหนึ่งซึ่งปรากฏเป็นลางร้ายบอกความเป็นมารในตัวของข้าพเจ้าคือ ราศีดำ
.....ราศีดำเริ่มจับบนใบหน้าข้าพเจ้ามากขึ้นทุกทีแต่ไม่รู้สึกตัวจนกระทั่ง คุณพ่อคุณแม่และญาติสนิท ออกปากทักว่าหน้าหมองไป จิตใจก็ออกจาะเหี้ยมเกรียมดุดัน
.....พอดีเข้ามหาวิทยาลัยได้และบาปชักนำอีกเหมือนกัน คือให้ไปทำงานด้านการเลี้ยงสัตว์และคุมการฆ่าสัตว์ตั้งแต่ฆ่าวัว ฆ่าควาย ฆ่าหมู และเป็ดไก่ส่งให้ อ.ส.ร. จนนับไม่ถ้วน
.....และจากเวรทีทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ถึงสองปีนี่เอง
.....มีวันหนึ่งข้าพเจ้าล้มป่วยลงซึ่งก็ไม่หนักหนาอะไรนัก แต่นอนไม่หลับ
.....พอหลับตาทีไรก็เห็นเลือดเป็ดเลือดไก่เลือดหมู่เลือดวัวควายไหลเป็นทาง จากคอของมัน บางตัวยิ่งซ้ำร้ายขึ้นมานอนดิ้นอยู่บนตักข้าพเจ้า
.....อาการป่วยที่มีบ้างเล็กน้อยกลับทรุดหนักลงไม่สามารถจะเยี่ยวยาได้ด้วย วิชาการของแพทย์สมัยปัจจุบัน นายแพทย์ให้กินยานอนหลับก็ไม่หลับ หรือถ้าหลับก็ต้องเพิ่มจำนวนยาให้มากขึ้น แต่พอหลับแล้วก็ฝันร้าย
.....ในที่สุดข้าพเจ้าต้องไปให้พระสงฆ์ท่านหนึ่งรักษา วิธีรักษาก็ง่ายมาก ไม่ต้องใช้หยูกยาอะไร
.....ท่านให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้สัตว์เหล่านั้นที่ข้าพเจ้าฆ่าเอง และเป็นผู้สั่งให้เขาฆ่า ถือศีลสิบอยู่เจ็ดวัน และนั่งฝึกสมาธิทั้งวันทั้งคืน จนกระทั้งไม่ช้าก็หายเป็นปกติดี
.....หลังจากนั้นจึงวางมือทางด้านการเลี้ยงสัตว์ และฆ่าสัตว์โดยเด็ดขาด

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 5)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


*** สะกดจิต
.....ความถือดีในวิชามารก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไป ไม่เพียงเท่านี้ข้าพเจ้ายิ่งถลำตัวต่อไปอีก
.....คราวนี้เรียนวิชาสะกดจิตซึ่งเป็นวิชาที่โจรร้ายทั้งหลายอยากจะได้นัก ทั้งๆรู้ว่าเป็นวิชาที่โจรแต่ก็อยากเรียน
.....เพราะคิดจะเอาไปใช้สะกดจิตในการบรรยายธรรม เป็นการจูงใจคนให้เข้าสู่ธรรมะได้ง่ายขึ้น.....โธ่เอ๋ย! ในเมื่อเราเองก็กลายเป็นเสนามารไปแล้ว จะเอาธรรมะที่ไหนไปเทศนาให้เขาฟัง
.....ขืนพูดไปก็คงจะมี่แต่เดียรัจฉานวิชาเท่านั้นเอง ทั้งคนเทศน์คนฟังคงได้ตกนรกกันเป็นพรวน
.....ท่านที่จะฝึกหัดสะกดจิตก็ตาม กำลังฝึกอยู่ก็ตาม หรือสะกดจิตได้แล้วก็ตาม
.....ข้าพเจ้าขอกราบเท้าวิงงอนให้เลิกเสีย เพราะท่านผิดแล้วยังไม่พอ จะพลอยให้ผู้อื่นหลงผิดตามท่านไปอีกด้วย
.....วิชานี้เป็นของมารโดยแท้ ไม่ว่าการสะกดจิตนั้นจะเป็นไปเพื่อใช้ในการแพทย์ ในการค้นคว้าเรื่องวิญญาณ
.....หรือแม้กระทั่งใช้สะกดตัวเอก็ตาม ข้าพเจ้าเองเคยทำได้มาแล้ว สามารถสะกดให้คนหลับได้ภายในไม่เกินสิบนาที
.....แต่เมื่อพิจารณาเห็นโทษทั้งในโลกนี้และโลกหน้าจึงจำต้องตัดใจเลิกเสีย หันมาปฏิบัติธรรมอันเป็นเนื้อแท้ของศาสนา
.....ทำไมข้าพเจ้าจึงขอร้องให้เลิกสะกดจิต?
.....ประการที่หนึ่ง ผู้ที่จะทำการสะกดจิต จะต้องตั้งปรารถนาอธิษฐานให้ผู้ถูกสะกดจิตขาดสติสัมปชัญญะ หมดความรู้สึกตัวตกอยู่ใต้การบังคับบัญชาของตนเพียงผู้เดียว
.....ไม่ว่าผู้สะกดจะบัญชาให้ไปทำดีหรือทำชั่วก็ต้องกระทำตามซึ่งล่อแหลมต่ออันตรายมาก
.....ถ้าผู้ถูกสะกดเป็นโรคเส้นประสาทมาก่อนอาจจะทำให้เป็นบ้าได้ หรือถ้าชะตาถึงฆาตก็อาจจะตายขณะสะกดจิตนั้นเอง
.....หรือถึงแม้จะไม่เป็นไร ผู้ถูกสะกดต่อมาภายหลังก็มักจะเป็นคนใจลอย ขาดสติสัมปชัญญะฉะนั้นอย่าเสี่ยงดีกว่า
.....ประการที่สอง ผู้ที่ทำการสะกดต้องฝึกสะกดตัวเองเสียก่อน คือฝึกให้ประสาทแข็งกร้าวบ้าง ลูกนัยน์ตาแข็งค้างเบิ่งนิ่งเป็นเวลานานๆ บ้าง
.....บางคนก็ทำให้ร่างกายตนเองแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ขาดสติสัมปชัญญะไปนานๆ
.....ในบั้นปลายชีวิตนักสะกดจิตมักจะป้ำๆเป๋อๆเป็นคนไม่เต็มบาท เพราะการหมั่นฝึกฝนให้ตนเองเป็นคนขาดสติอยู่ประจำนั้นเอง
.....นับว่าปิดประตูพระนิพพานของตนเองไปอย่างน่าเสียดาย
.....ประการที่สาม ในกรณีสะกดคนไข้เพื่อการรักษาในทางการแพทย์ ดูๆก็เป็นประโยชน์ดี
.....แต่อย่าเสี่ยงดีกว่า ช่วยเขาให้หายแค่เราเองกลายเป็นบ้า ใช้หยูกยาชนิดอื่นแทนก็ได้
.....อีกประการหนึ่ง การที่บุคคลเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น แท้จริงเนื่องจากกรรมชั่วในอดีตที่ตามมาให้ผลทั้งสิ้น ถ้าเป็นชนิดกรรมหนักๆ ถึงแม้จะไปเอาผู้วิเศษมารักษาก็ไม่หาย
.....แต่กรรมเบาๆไม่หนักหนาเกินไปเพียงใช้ยาก็รักษาให้หายได้ไม่ต้องไปสะกดให้เสียเวลา
.....ประการที่สี่ ในขณะที่ทำการสะกดนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบบตะวันออกที่ใช้คาถาอาคม หรือแบบตะวันตกที่ใช้การเพ่งจิตอย่างเดียวก็ตาม
.....ขณะที่ทำการสะกดนั้นฝ่ายมารส่งฤทธิ์ให้ทั้งนั้น
.....เหมือนกับประเทศไทยถ้าจะมีการจลาจลแบ่งแยกแผ่นดินไทยขึ้นเมื่อไร ไม่ว่าเราจะต้องการเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ คอมมิวนิสต์เป็นยิ้มหวาน ยื่นมือเข้าช่วยทันที ส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ให้เราเข่นฆ่ากันเองเพื่อประโยชน์ของมันในบั้นปลาย
.....ประการที่ห้า การสะกดจิตเพื่อผลการค้นคว้าทางวิญญาณนั้น ข้าพเจ้าขอเตือนว่าท่านจะไม่ได้พบความจริงเลย ไม่ว่าจะสะกดจิตตัวเองหรือผู้อื่น แต่ท่านจะได้เห็นเพียงอาการของจิตเท่านั้น
....สภาพของนักค้นว้าทางจิตที่ใช้การสะกดจิตเป็นเครื่องมือก็เปรียบเสมือนคนตาบอดคลำช้างนั่นแหละ ว่ากันไปต่างๆนานา ไม่ได้ความสักคนเดียว เพราะอะไร? ก็เพราะที่เรียกว่า “จิต” หรือเรียกว่าวิญญาณ หรือเรียกว่าใจนั้น
.....แท้จริง คือ เห็นอย่างหนึ่ง จำอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่ง
.....สี่อย่างนี้รวมเข้าด้วยกันเป็นจุดเดียวกันนั้นแหละเรียกว่าใจ
.....อยู่ที่ไหน? อยู่ในเบาะน้ำเลี้ยงหัวใจ คือ
.....ความเห็นอยู่ท่ามกลางกาย ความจำอยู่ท่ามกลางเนื้อหัวใจ ความคิดอยู่ท่ามกลางดวงจิต ความรู้อยู่ท่ามกลางดวงวิญญาณ
.....เห็นจำคิดรู้สี่ประการนี้หมดทั้งร่างกาย ส่วนเห็นเป็นต้นของรู้ ส่วนจำเป็นต้นเนื้อของหัวใจ ส่วนคิดเป็นต้นเนื้อของจิต ส่วนรู้เป็นต้นเนื้อของดวงวิญญาณไล่กันเป็นชั้นๆไปดังนี้
.....จะรู้จะเห็นได้ก็โดยการฝึกสมาธิแบบพระเท่านั้น
.....สิ่งที่งมงายที่สุดในนักค้นคว้าทางจิตตลอดจนนักสะกดจิตและนักค้นคว้าวิญญาณก็คือ ไม่ยอมเชื่อว่าสามารถมองเห็นจิตได้
.....เพียงพื้นฐานเบื้องต้นแค่นี้ ยังไม่เข้าใจแล้วจะไปค้นคว้ามันทำไม ยิ่งค้นมากเท่าไร ยิ่งถูกมารมันหลอกจูงจมูกมากเท่านั้น
.....แต่ถ้ารักจะค้นคว้าจริงๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตา ฝึกสมาธิไปดีกว่าไม่ช้าย่อมรู้ได้เอง
.....ประการที่หก พวกสะกดจิตทุกคนตกนรกหมดไม่เหลือหลอ เพราะจะต้องตายอย่างผู้ขาดสติ ตามความเคยชินที่ฝึกฝนตนเองไว้
.....เมื่อพ้นเวรจากนรกกลับมาเกิดใหม่ก็จะกลายเป็นคนใจลอยบ้าง โรคลมบ้าหมูบ้าง สติฟั่นเฟือนอีกไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันชาติบ้าง และถ้าหากยังไม่สิ้นเวร
.....ถ้าแม้ในชาตินั้นๆจะเกิดไปพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ใหม่ในเบื้อหน้าก็ไม่สามารถรองรับเอาธรรมของพระองค์ไว้ได้ เสียชาติเกิดเปล่าๆ เพราะความงมงายไปฝึกวิชามาร

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 4)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


*** ดับพิษไฟ
.....วิชาที่สองที่ข้าพเจ้าเรียนต่อมา คือ ดับพิษไฟ แบบไสยศาสตร์ข้าพเจ้าเสียเวลาเรียนอยู่เจ็ดวัน จึงจะเริ่มดับพิษไฟได้บ้าง จากนั้นก็หมั่นฝึกฝนหาความชำนาญเรื่อยมาหมดถ่านไปหลายสิบกระสอบ
.....ประมาณ 1-2 ปี ข้าพเจ้าก็สามารถย่ำเท้าเปล่าบนถนนถ่านเพลิงที่ติดแดงลุกโชนได้
.....น้ำมันเดือดๆ ที่ตั้งอยู่บนเตาไฟ หรือกล้วยแขกที่แม่ค้ากำลังทอดเดือดๆอยู่ในกระทะ.....พอดับพิษไฟแล้วข้าพเจ้าเอามือเปล่าลงไปความช้อนขึ้นมากินได้โดยไม่สะทกสะท้าน
.....ผู้ที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก ถ้าพบข้าพเจ้าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอให้เสียเวลา
.....ขอข้าสารเพียง 1 หยิบมือเกลือ 2-3 เม็ด ใส่ปากเคี้ยวไปนึกท่องคาถาไป พอข้าวสารแหลกดีก็พ่นใส่บริเวณที่ถูกไฟหรือน้ำร้อนลวก ไม่เกินสามอึดใจคนไข้เหล่านั้นจะหายปวดแสบปวดร้อนทันที ทั้งที่ไม่ต้องมีตัวยาอื่นใดปนทั้งสิ้น
.....เนื้อความในบทคาถาสำหรับดับพิษไฟก็เป็นการกล่าวสรรเสริญคุณพระโมคคัลลาน์ว่ามีฤทธิ์มากสามารถดับไฟในนรกพ้นทุกข์จากการถูกไฟเผาได้
.....จึงไม่มีอะไรให้จับพิรุธได้เลยว่า วิชาดับพิษไฟเป็นวิชามาร
.....ยกเว้นจะสังเกตจากวิธีการทำสมาธิของมันอย่างใกล้ชิดเท่านั้น หลักวิชาทำสมาธิของฝ่ายมารคือ หลอกให้ลูกศิษย์ของมันเอาใจไปตั้งไว้ที่วัตถุนอกตัว
.....ถ้าฝึกเพ่งกสิณ จะเป็นกสิณน้ำหรือกสิณไฟหรือกสิณชนิดใดๆก็ตาม ก็ให้เอาใจไปตั้งไว้ที่แก้วน้ำหรือกองไฟ หรือวัตถุที่ใช้เป็นกสิณนั้น
.....ครั้นฝึกไปๆดวงกสิณก็เกิดขึ้น แต่เป็นดวงสว่างนอกตัว เวลาจะเสกจะเป่าทำของขลังเช่น เสกปูนคาดคอให้หนังเหนียวก็เพ่งดวงสว่างนั้นไปที่ปูน
.....หรือถ้าจะตรวจดูใต้ดินว่ามีอะไรบ้าง ก็เอาดวงสว่งนั้นฉายพุ่งลงไปในดินเหมือนใช้ไฟฉายส่องดู
.....การทำเช่นนี้มีข้อเสียคือ
.....1.ความสว่างของดวงกสิณเกิดขึ้นน้อยมาก คือสว่างแค่ดวงเทียนอย่างมากก็แค่ไฟฉาย หรือไม่เกินคืนเดือนหงาย
.....ทำให้เป็นไม่ตรงตามความเป็นจริงเสมอไป ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่เห็นทางสายกลาง
.....2. กำหนดดวงกสิณได้ยากมาก
.....3. ทำให้เกิดความเห็นผิด คือมารมันจะหลอกเอาว่าสมาธิเล็กน้อยที่ตนทำได้นั้นถึงที่สุดแล้ว
.....เหตุนี้เองเอาฬารดาบส และอุทกดาบส จึงถูกหลอกให้ติดอยู่ในอรูปฌานว่านั้นคือนิพพานจนกระทั่งตาย
.....แถมยังจะต้องถูกหลอกอย่างนี้อีกหลายร้อยหลายพันชาติ
.....สำหรับหลักวิชาของฝ่ายพระ คือ สอนให้เก็บใจไว้ในตัวโดยเอาใจไปตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกาย (ตรงกลางท้อง)
.....ถ้าจะกำหนดกสิณไม่ว่ากสิณชนิดใดก็กำหนดไว้กลางกาย จะพิจารณาธรรมอันใดก็ตาม หรือจะแผ่เมตตาก็ตามก็กำหนดอยู่ตรงศูนย์กลางกาย
.....เมื่อกำหนดเข้าศูนย์กลางกายได้ ไม่ช้าก็เข้าถึงศูนย์กลางภพได้แล้วเข้าถึงศูนย์กลางพระนิพพานได้โดย อัตโนมัติ ไม่ลำบากยากเย็นเลย
.....ความสว่างภายในที่เกิดขึ้นก็สว่างมากกว่าเอาดวงอาทิตย์พันๆหมื่นๆดวงมารวมกันเสียอีก
.....สว่างจนกระทั่งเห็นภพของมารชัดเจน มารมันจึงกลัวนัก พอเห็นพระเท่านั้นวิ่งหางจุกกันทีเดียว
.....การกำหนดดวงกสิณก็ง่ายกว่า และที่สำคัญคือเข้าทางสายกลางอันประกอบด้วยมรรคมีองค์แปดได้อย่างง่ายดาย แม้แต่เด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบ ก็สามารถทำได้
.....เมื่อพระอรหันต์จะไปเที่ยวดูนรก ท่านก็ทำใจหยุดเข้าไปในศูนย์กลางกายของท่าน พอใจหยุดถูกส่วนก็เข้าถึงธรรมกาย ใจของธรรมกายหยุดได้ถูกส่วนก็เข้าถึงศูนย์กลางนรก
.....รังสีความเย็นของธรรมกายนั้นมีสุดประมาณ ก็จะดับไฟนรกที่กำลังแผดเผาอยู่ให้ดับสนิทได้อย่างเฉียบพลับ อุปมาเหมือนเอาปลายธูปจุ่มลงไปในทะเลน้ำแข็งฉะนั้น
.....ด้วยเหตุนี้พระโมคคัลลาน์จึงไม่เคยใช้คาถาดับพิษไฟใดๆทั้งสิ้น
.....ไม่เฉพาะพระโมคคัลลาน์เท่านั้น แม้ท่านผู้อ่านก็เหมือนกัน เมื่อฝึกสมาธิจนกระทั่งถึงธรรมกายแล้ว (ฝึกไม่ยาก) ก็อาศัยธรรมกายนี่แหละปาฏิหาริย์ลงไปไฟนรกจะดับเอง
.....บางท่านอาจเถียงว่า วิชาดับพิษไฟเป็นวิชาของพระ เพราะช่วยดับทุกข์มนุษย์ได้ เปล่าเลยมันเป็นวิชามาร
.....มันเห็นเราเอาจริงตั้งใจฝึกสมาธิไม่ลดละ
.....มันจึงหลอกให้เราเอาใจไปตั้งที่วัตถุนอกตัว จะได้ไม่เห็นตัวพวกมันชัด ตกอยู่ในอำนาจการปกครองของมันตลอดไป
.....ถ้าเราฝึกได้ถูกทางเราก็จะหลุดพ้นจากอำนาจของพญามารและสามารถปราบมันได้อีกด้วย
.....นานๆ ทีก็สมยอมให้เราทีฤทธิ์ดับพิษไฟกองเล็ก ๆ นอกตัวได้ แต่เพิ่มไฟในตัวคือหลงผิด คือว่าตัวเองเก่งให้ไหม้โหมเผาใจเราหนักเข้าไป
.....พอสุดท้ายเราก็ตายไปพร้อมกับความหลงว่า กูเก่ง
.....แต่ถ้าเราดับพิษไฟภายใน คือความหลงได้แล้ว เรื่องดับไฟภายนอกน่ะเรื่องเล็ก ต่อให้เป็นดวงอาทิตย์ก็ดับได้สบายมาก
.....ฉะนั้นผู้ใดก็ตามไม่ว่าฆราวาสหรือพระสงฆ์ที่ตั้งตนเป็นอาจารย์รูดโซ่ ลุยไฟ ดับพิษไฟ ฯลฯ อยู่ในขณะนี้นั้น
.....ขอให้ทราบเถิดว่าท่านไม่ใช่ศิษย์ของพระตถาคตแล้ว กำลังถูกมารจูงจมูกอยู่ จงเลิกเสียเถิด
.....แล้วหันหน้ามาปฏิบัติธรรมอย่างจริงๆจังๆ จะได้เข้าถึงธรรมกายตามพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายไปเสียที
.....ขณะนี้ท่านที่ฝึกสมาธิจนกระทั่งได้ธรรมกายแล้ว ในประเทศไทยมีเป็นเรือนแสน และที่กำลังจะได้ก็ยังมีอีกนับไม่ถ้วน
.....ด้วยอำนาจบุญของผู้ประพฤติธรรมเหล่านี้ ไทยจึงเป็นไทยอยู่ได้เพราะธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมเสมอไป
.....หาไม่ประเทศไทยคงถึงแก่ความย่อยยับอัปปางไปนานแล้ว ไม่สามารถลอยลำฝ่าวิกฤตการณ์ต่างๆมาได้
.....ลองคิดดูให้ดี นอกจากธรรมแล้ว เราไม่มีหลักประกันความมั่นคงของประเทศชาติอย่างอื่นเลย
.....ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เพราะทิ้งศาสนาเลิกประพฤติธรรมจึงไม่รอดพ้นจากวิกฤตการณ์สักประเทศเดียว
.....อินเดียเป็นประเทศใหญ่กว่าเรามาก แต่ก็ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศเล็กๆ คือประเทศอังกฤษ
.....ประเทศจีนก็เช่นกันเนื่องจาก เมื่อไปสืบพระพุทธศาสนาจากอินเดีย จีนได้พระสูตรไปเป็นส่วนมากพระวินัยได้ไปน้อย
.....พระภิกษุจีนจึงประพฤติศีลหย่อนยาน เป็นหลวงจีนแล้วก็ยังดื่มเหล้า ฆ่าคนได้
.....ประเทศจีนจึงต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ฆ่ากันเองตายตั้งหลายสิบล้านคน แม้ปัจจุบันก็ยังไม่ยอมเลิกราวาศอกกัน
.....พม่าก็รับพระวินัยมาน้อยทำให้ศีลของพระภิกษุพม่าหย่อนยานประชาชนก็ หย่อนศีลตาม พม่าจึงตกเป็นเมือขึ้นของอังกฤษไป แม้ปัจจุบันก็ยังไม่ฟื้น
.....ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราตั้งแต่ลังกา เวียดนาม เขมร ลาว ก็ประพฤติธรรมหย่อนยานตกอยู่ในอาการเดียวกัน จึงให้มีอันต้องตกระกำลำบากดังที่เห็นกันอยู่
.....ไทยเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่รักษาตัวได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะเรารักษารากฐานทางศาสนาที่สำคัญที่สุดคือศีลไว้ได้ จึงช่วยให้ประชาชนทั่วไปสามารถประพฤติธรรมข้ออื่นได้สะดวก
.....แต่ว่าทุกวันนี้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กจำนวนมากกำลังจะทิ้งศีลตั้งหน้าจะกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน ส้องเสพย์สุรา นารี และการพนัน อนาคตของชาติจึงน่าวิตก
.....ถ้ารักชาติจริง สาธุ! จงทิ้งอบายมุขเสียเถิด
.....เมื่อข้าพเจ้าสามารถดับพิษไปตามวิธีของมารได้ชำนาญแล้ว ก็สามารถส่งกระแสใจออกไปไกลตัวได้ตามลำดับ (ความจริงต้องถือว่าส่งไปได้แคบมากเมื่อเทียบกับวิธีของพระ)

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 3)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


*** เหตุหลงมาร

.....ถ้าใช้ตาธรรมกายดูรอบๆ ตัว ขณะทำพิธีเสกปูน พลู อยู่นั้นก็คงพบว่าวิญญาณของครูบาอาจารย์ที่มาช่วยกันส่งฤทธิ์ประสิทธิ์ประสาทความศักดิ์สิทธิ์ให้หนังเหนียวนั้นต่างไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่พรหม ไม่ใช่พระ แต่ล้วนเป็นเหล่ามารใจบาปทั้งสิ้น.....ร่างกายของมันใหญ่โต กำยำปานภูเขา ผิวดำเป็นนิล ผมเผ้ายาวรุงรังเป็นกระเซิง หน้าตาดุร้าย จิตใจเหี้ยมโหดอำมหิต
.....รูปวาดพวกเปรต พวกสัตว์นรกพวกยักษ์ตามฝาผนังโบสถ์ สมัยโบราณว่าน่าเกลียดน่ากลัว จนไม่อยากชำเลืองอยู่แล้วนั้น พวกมันกลับยิ่งซ้ำร้ายกว่าอีกหลายหมื่นหลายแสนเท่า
.....ที่มันมาส่งฤทธิ์ให้นี้ก็เพื่อต้องการล่อลวงให้ข้าพเจ้าใจฮึกเหิม ตกเป็นเครื่องมือในการสร้างบาปของพวกมันเท่านั้นเอง หาได้ปรารถนาดีแต่ประการใดไม่
.....น่าเสียดาย ขณะนั้นข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินแม้คำว่า ธรรมกาย จึงถูกมารหลอกใช้เชื่อจนหมดใจว่ามันนั่นแหละเป็นพระ
.....ท่านผู้อ่านเองก็เถิด ถ้าตกไปอยู่ในสภาพเดียวกันกับข้าพเจ้า คือสามารถเสกปูนเสกใบไม้ทำให้หนังเหนียวได้
.....ก่อนทำการเสกก็ตั้งใจอาราธนาคุณพระรัตนตรัยตลอดจนคุณบิดามารดา อีกคุณครูบาอาจารย์ ให้มาช่วยบันดาลให้การเสกนี้สัมฤทธิ์ผลทันตาเห็น
.....ท่านก็ย่อมเชื่อจนหมดใจลงไปเช่นกันว่าผู้ที่ส่งฤทธิ์ให้นี้ต้องเป็นพระ อย่างแน่นอน ใครจะมาทักท้วงอย่างใดย่อมไม่ยอมรับฟังทั้งสิ้น
.....แต่หามิได้ท่านผู้อ่านที่รัก
.....เมื่อพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว บางครั้งมารก็แสร้างแสดงอาการหวังดี ประดุจว่ามันนี่แหละเป็นพระมีความเมตตารักใคร่ในศิษย์คอยติดตามเป็นห่วงเป็นใย
.....หรือบางทีจิตของเราหยาบไป ไร้ความสุขุม รอบคอบ ก็อาจทำให้หลงเป็นความสงบสำรวยของพระกลายเป็นมารขัดขวางความเจริญไปก็มี
.....ยิ่งกว่านั้นบางทีถึงกับหลงตำหนิวิชาทางฝ่ายพระ ที่มุ่งสอนให้สละกาม สละโกรธ มุ่งสันโดษ มุ่งสันติ ว่าเป็นการชักจูงให้คนวิกลจริตไร้เสียซึ่งความรับผิดชอบอันดีต่อสังคม
.....แต่วิชาฝ่ายมารที่ยั่วยุให้บังเกิดความฮึกเหิมบ้าง กามราคะกำเริบบ้าง จองเวรล้างผลาญกันบ้างกลับดูน่ารัก น่าพิสมัย มีเหตุมีผล มีคุณค่าควรแก่การนับถือ สมควรปฏิบัติตามเพราะถูกกับกิเลสในตัว
.....จึงหลงเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นวิชาของพระไป
.....ซ้ำร้ายในรายของข้าพเจ้าท่านอาจารย์กลับย้ำตอกหมุดแห่งความหลงผิด ให้จมลึกเข้าไปจนสุดก้นบึ้งหัวใจอีกด้วย:-
.....”อันวิชาคงกระพันชาตรีนี้มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับชนชาติไทยมาแต่โบราณกาล ดูแต่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเถิด
.....ครั้งกระนั้นมีบุรุษหนึ่งเลิศชายชื่อ พลายแก้ว ต่อเมื่อเลื่อนยศและเป็น ขุนแผน
.....ได้พากเพียรเรียนร่ำวิชาคงกระพันชาตรีนี้จนสำเร็จ เนื้อหนังจึงคงทนศาสตราอาวุธได้ทุกชนิดเป็นที่คร้ามเกรงแก่หมู่ปัจจามิตรที่คิดร้ายต่อกรุงศรีอยุธยา
.....ต่อมาวิชานี้ตกทอดจนถึงสมเด็จพระนเรศมหาราชพระองค์ได้อาศัยวิชานี้ ทำให้สามารถกู้ชาติกลับมาได้ หาไม่แล้วคงจะถูกพม่าฆ่าตายเมื่อคราวนำทหารกล้า ปีนขึ้นปล้นค่ายพม่าที่บางปะหัน
.....ฉะนั้นเจ้าจงสืบทอดและรักษาวิชานี้ต่อไปให้ดี เมื่อถึงคราวจำเป็นจะได้ใช้ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
.....แต่มันเป็นวิชามารนะท่านอาจารย์ เรียนแล้วได้ไม่คุ้มเสีย
.....ที่กล้าพูดเต็มปากว่าเป็นวิชามารก็เพราะ
.....ประการที่หนึ่ง เมื่อเรียนวิชานี้แล้ว มักพาใจให้ฮึกเหิมนึกว่าตนเองเก่งกล้าเหนือคนทั้งหลาย ตกอยู่ในข่ายประมาท
.....ถ้าสันดานเดิมเป็นคนต่ำทรามอยู่แล้วก็ยิ่งพาให้ลำพองไม่เกรงอาวุธ ไม่กลัวตาย ประพฤติตนเกะกะเป็นนักเลงหัวไม้หรือกลายเป็นโจรไป
.....ถ้าแต่เดิมเป็นคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่เกะกะ เมื่อเรียนวิชาคงกระพันนี้แล้ว ก็จะผิดปกติไปจนได้ ถึงแม้จะไม่ระรานผู้ใดก่อน
.....แต่เมื่อมีเหตุร้ายที่พอจะหลีกเลี่ยงได้เกิดขึ้น ก็ชักจะไม่ยอมหลีกเพราะถือว่าตนก็ศิษย์มีอาจารย์ ได้รับคาถาดีไว้คุ้มหัวแล้ว เป็นอย่างไรก็เป็นกัน
.....เรื่องร้ายที่สมควรจะระงับได้ด้วยการให้อภัยกันก็กลายเป็นเรื่องต้องลงไม้ลงมือด้วยความอวดอื้อถือดีจนได้
.....ครั้นวิวาทกันแล้วไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ ย่อมเป็นการก่อเวรกันไม่รู้จบด้วยกันทั้งสิ้น
.....ฉะนั้นทางที่ดีแล้วอย่าไปเรียนเลย
.....ถ้าเกรงจะถูกคนพาลรังแกข่มเหง ก็ให้ หมั่นสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ทุกคืน เช้าออกจากบ้านไปทำงานก็สมาทานศีล 5 เสียก่อน
.....รับรองว่าไม่มีใครมารบกวนหาเรื่องรังแกกับท่านแน่ๆ เพราะธรรมย่อมรักษาและคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
.....หรือถ้ายังมีคนตามมารังแกท่านอีก ก็แสดงว่ากรรมชั่วในอดีตชาติกำลังตามมาให้ผล จงสู้ทนแข็งใจรับไว้
.....อย่าก่อกรรมใหม่ ไม่ช้าพอหมดแรรมเก่าเรื่องร้ายก็กลายเป็นดีได้เอง
.....การไปเรียนวิชาทำให้หนังเหนียว แล้วไม่ตั้งใจถือศีลและทำความดีนั้นไม่ใช่การป้องกันที่เหตุแต่เป็นการแก้ที่ผล
.....ซึ่งผิดหลักของพระพุทธศาสนา แม้จะประกาศตนว่าเป็นชาวพุทธแต่ก็หลุดไปจากศาสนาโดยปริยายแล้ว
.....ประการที่สอง ในการใช้อำนาจจิตทำให้หนังเหนียวด้วยวิธีของมารนี้
.....สำหรับผู้ฝึกใหม่จำเป็นต้องกลั้นลมหายใจไว้เป็นช่วงๆ หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องปลุกพระตามวิธีไสยศาสตร์เข้าช่วยจึงจะได้ผล
.....ทำให้ติดนิสัยกลั้นลมหายใจในขณะทำสมาธิโดยไม่รู้ตัว เป็นผลเสียในการฝึกสมาธิเบื้องสูงต่อไป
.....ฉะนั้นส่วนมากแล้วผู้ที่ฝึกวิชามารมาก่อนจึงไม่สามารถฝึกสมาธิขั้นสูงได้ หมดโอกาสสำเร็จมรรคผล
.....ได้เพียงโลกียฤทธิ์เล็กๆน้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มทำนองเดียวกับเทวทัตในสมัยพุทธกาล
.....สำหรับการปลุกพระตามวิธีไสยศาสตร์นั้นเป็นเรื่องของความงมงาย คือ
.....เอาพระเครื่องใส่มือแล้วกลั้นลมหายใจเข้าออก ว่าคาถาในใจ ครั้นจะหมดอากาศก็เกิดอาการสั่นเทา ชักดิ้นชักงอเหมือนปลาถูกทุบ หรือสัตว์ใกล้ตาย
.....ยิ่งดิ้นทุรนทุรายมากเท่าไรก็มักจะทึกทักเอาว่า พระเครื่องในมือนั้นศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเท่านั้น
.....แท้จริงแล้วควรจะเรียกวิธีการเช่นนี้ว่า ปลุกเปรต หรือปลุกสัตว์นรก ต่างหาก
.....คำว่า ปลุกพระ ถ้าจะพูดให้เต็มต้องพูดว่า ปลุกตัวเองให้เป็นพระ
.....และคำว่า พระ แปลว่า ประเสริฐ ดังนั้น ปลุกพระก็คือปลุกตัวเองให้เป็นคนประเสริฐ
.....คนที่จะนับว่าประเสริฐได้อย่างน้อยก็ต้องมีศีล
.....ฉะนั้นการปลูกพระที่ถูกวิธีที่สุดคือ เมื่อมีพระเครื่องอยู่กับตัวแล้ว แทนที่จะกลั้นลมหายใจท่องคาถาตามวิธีดังกล่าว
.....ก็เปลี่ยนเป็นตั้งใจสมาทานศีล 5 หรือ ศีล8 กับพระเครื่องนั้น ตามแต่กำลังศรัทธา
.....ยิ่งรักษาศีลได้มากข้อ เราก็ยิ่งประเสริฐมากขึ้น
.....โปรดระลึกเสมอว่า อาการใดก็ตามถ้าขาดความสำรวมระงับเช่นชักดิ้น ชักงอ กระโดโลดเต้น เอะอะตึงตัง ฯลฯ
.....อาการนั้นย่อมไม่ใช่อาการของศิษย์ตถาคต แต่เป็นอาการของศิษย์มารต่างหาก
.....ใครที่ชอบปลุกพระหรือปลุกตัวตามวิธีไสยศาสตร์ จงเลิกเสียทั้งพระภิกษุทั้งฆราวาสนั่นแหละ อย่าไปเห็นแก่อามิสสินจ้าง หรือชื่อเสียงจอมปลอมอยู่เลย
.....หันหน้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังให้ถูกต้องร่องรอยของศาสนาดีกว่า
.....มิฉะนั้นจะบ้าหรือประสาทเสียหรือไม่ก็เส้นโลหิตแตกตายไปโดยใช่เหตุ ครั้นตายแล้วยังจะต้องไปชักดิ้นชักงอต่อในนรกอีกเป็นพันปีหมื่นปี
.....ประการที่สอง การเรียนวิชาคงกระพันชาตรี ทำให้เกิดการเคารพบูชาในสิ่งที่ผิด ผู้ที่ควรแก่การกราบไหว้บูชาที่นั้นคือผู้ที่ปลูกฝังความเห็นถูกให้แก่เรา ไม่ว่าผู้นั้นจะอายุมากหรือน้อยกว่าเราก็ตาม
.....เช่นสอนเราให้ทำทาน ถือศีล ไม่เกะกะระราน ไม่จองเวรกัน ฯลฯ ชาวพุทธต้องจำใส่ใจเสมอว่า สิ่งที่ควรแก่การบูชานั้นไม่ใช่ผี ไม่ใช่เปรต ไม่ใช่ยักษ์ ไม่ใช่มาร ไม่ใช่เจ้าพ่อเจ้าแม่ ฯลฯ
.....ถ้าใครบูชาพวกนี้แล้วก็จะพลอยมีความเห็นผิดตามพวกมันไปด้วย คือคิดถึงความดีก็ไม่ค่อยออก แต่คิดวิธีจองล้างจองผลาญผู้อื่นได้อย่างฉับพลันทันใจทีเดียว
.....ครั้นเราหลงไปเรียนวิชาของมันเข้า ก็เท่ากับเราบูชามันกลายเป็นเสนา มารตัวแสบให้แก่มันทันที
.....ท่านผู้อ่านที่รัก เราเป็นคนผู้ประเสริฐอยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปเคารพผี เคารพเปรต เคารพมาร ให้กลายเป็นพาลตามพวกมันไปด้วยเล่า
.....เมื่อ พ.ศ.2501 ข้าพเจ้าเรียน วิชาใส่ปรอท จากท่านอาจารย์ทรัพย์ เมื่อใส่ปรอทเข้าไปในตัวคนไข้แล้ว ก็สามารถรักษาโรคชนิดต่างๆให้หายได้ ถ้าใส่ตนเองก็ทำให้คงกระพันหนังเหนียวได้
.....แต่ครูผู้ล่วงลับเจ้าของวิชานี้ดุร้ายมาก ถ้าศิษย์ทำผิดคำสั่งแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจถูกทำโทษถึงตาย
.....อยู่มาวันหนึ่งอาจารย์ทรัพย์เองใส่ปรอทรักษาโรคมะเร็งให้คนไข้ แต่ท่านอายุมากแล้วเผลอลืมยกครูก่อน พอใส่ปรอทคนไข้เสร็จประมาณ 30 นาทีเท่านั้น
.....ทั้งๆที่ท่านนั่งคุยอยู่ดีๆท่านหงายหลังล้มตึงสิ้นสติขาดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเป็นสัญญาณบอกให้รู้ล่วงหน้า
.....กระอักโลหิตออกมาประมาณครึ่งชามโคม ลูกศิษย์แต่ละคนต่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งประคองท่านอาจารย์มือไม้ สั่นเป็นเจ้าข้า คว้ายาหม่องมาให้ดมละลายยาลมมาให้กินไปตามประสา
.....รุ่นพี่คนหนึ่งของข้าพเจ้าอายุมากแล้ว มีสติดีกว่าศิษย์คนอื่นๆ และในกระบวนลูกศิษย์ด้วยกันแล้ว ท่านมีสมาธิเป็นเยี่ยม
.....ท่านนั่งเข้าที่ทำสมาธิอยู่คณู่หนึ่ง จึงนิมิตเห็นอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ตัวดำเป็นนิล หน้าตาเหี้ยมเกรียมตวาดเตือนมาว่า ทำไมจึงไม่ยกครูก่อน สั่งสอนกันเบาะๆ ด้วยการเหยียบอกลูกศิษย์จนกระอักโลหิตตั้งครึ่งค่อนชาม
.....ท่านผู้อ่านช่วยตัดสินทีซิว่า อาจารย์ที่ว่านั้นเป็นพระหรือมารกันแน่?
.....ประการที่สี่ เมื่อใดที่ผู้ศึกษาวิชาคงกระพันชาตรีได้คิดกลับใจมาเรียนธรรมะ อันเป็นวิชาฝ่ายพระโดยตรง เช่นฝึกวิชาธรรมกายเป็นต้น
.....เมื่อนั้นมันจะตั้งตัวเป็นศัตรูตามจองล้างจองผลาญทันที
.....จะทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้มันไปเท่าไรมันก็รับส่วนบุญเอาไว้หมด แต่มันไม่ยอมลงลาวาศอกเลิกขัดขวาง
.....โดยเฉพาะเวลาทำสมาธิตามหลักวิชาธรรมกายแล้ว ถ้าเราเผลอปล่อยให้จิตเคลื่อนไปจากที่ตั้งแม้เพียงแค่ปลายเข็ม มันเป็นต้องบุกเข้ารังควาน
.....บางครั้งมันแกล้งทำให้เกิดความรู้สึกคล้ายมีคนเอามีดขวาน เข็ม หรือของมีคมต่างๆมาทิ่มแทงเชือดเฉือนตามเนื้อตามตัวบ้าง ตามปลายนิ้วมือบ้าง ตามปลายลิ้นบ้าง ตามบริเวณเนื้ออ่อนๆ ทั่วทั้งตัวบ้าง ฯลฯ อยู่เสมอ
.....กว่าอาการเหล่านี้จะหายสนิท ก็ต้องใช้เวลาแรมปี
.....ประการที่ห้า วิชาคงกระพันชาตรีนี้ถึงจะฝึกฝนอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้หนังเหนียวตลอดไปได้ เพราะมันฝืนหลักธรรมชาติ
.....เป็นต้นว่าทั้งๆ ที่ทดลองยิงหรือฟันกันอยู่หยกๆ ว่าหนังเหนียวได้ที่แล้วนีแหละ
.....แต่เมื่อไปอยู่ต่อหน้าผู้เข้าถึงธรรมกายแล้ว วิชานี้ก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์หนังก็เลิกเหนียว
.....เพราะอาจารย์มารเหล่านั้นเกรงบารมีพระธรรมกายไม่อาจเข้าใกล้ได้ จำต้องหยุดส่งฤทธิ์ให้ศิษย์ของมันชั่วขณะหนึ่ง ขณะนั้นถูกเพียงปลายมีดพับสะกิดเบาๆรับรองว่าต้องหลั่งเลือดจนได้
.....หรือไม่เช่นนั้นหลังจากที่มารมันยั่วยุให้เราฮึกเหิมก่อเวรก่อกรรมมากเข้าๆ จนกระทั่งบาปหนักเต็มที่เราจะทำความดีมาลบล้างเท่าไรก็ไม่หมดแล้ว พวกมันก็ไม่ได้รับประโยชน์จากเราต่อไปอีก
.....มันก็จะไสหัวทิ้งไม่ส่งฤทธิ์ให้อีก หนังเราก็เลิกเหนียว ปล่อยให้เราทนรับผลกรรมชั่วตามลำพัง
.....เหมือนพ่อค้าฝิ่นที่ใจดำอำมหิต ครั้งเห็นว่านักเลงที่มันเลี้ยงไว้ฝีมือตก ทำประโยชน์ให้มันไม่คุ้มค่า มันก็ปล่อยให้ถูกตำรวจเก็บเสีย ไม่ยอมช่วยเหลือวิ่งเต้นแต่อย่างใด
.....นี่คือคำตอบว่าทำไมไอ้โจรหนังเหนียวทั้งหลายจึงถูกตำรวจฆ่าตายไปแล้วนับไม่ถ้วน
.....ประการที่หก ผู้เรียนวิชาคงกระพันชาตรีแล้วนับวันจะยิ่งมีความเห็นผิดเป็นชอบมากขึ้น
.....โดยมากแล้วมักจะอวดดื้อถือดีว่าการทำให้หนังเหนียวได้นั้น เป็นสุดยอดของวิชาธรรมภาคปฏิบัติแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่เคยลงมือปฏิบัติธรรม
.....พวกนี้ถึงหัวเด็ดเท้าขาดก็จะสนใจอยู่แต่เรื่องหนังเหนียว ไม่ยอดเปลี่ยนมาฝึกวิชามรรคผลนิพพาน ยกเว้นจะมีผู้ที่รู้เรืองวิชาจริงๆ มาทรมารให้สำนึก
.....เหมือนกับผู้ที่ส้องเสพอยู่กับอันธพาล ย่อมพึงพอใจในความหยาบกระด้างกักขฬะของคนพาล หลงผิดเป็นอย่างมาก ว่าการรังแกผู้อื่นได้เป็นการกระทำของคนเก่ง
.....ส่วนความเมตตาปรานีต่อเพื่อนมนุษย์ตาดำๆด้วยกัน หรือความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นการแสดงความอ่อนแอ และไม่เคยคิดที่จะแผ่เมตตาดูบ้างเลย
.....สาเหตุที่ทั้งหกประการที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นข้อยืนยันได้อย่างดีว่าทำไมวิชาคงกระพันจึงเป็นวิชามาร เป็นวิชาของโจร ไม่ควรเรียน
.....ได้โปรดเถอะอย่าแย้งเลยว่า บางครั้งเราก็จำเป็นต้องคบโจรไว้ล้างโจรเหมือนกัน เพราะไม่เคยมีใครเลยที่คบโจรแล้วจะไม่คิดเอานิสัยเลวๆของโจรมา
.....เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครเลย เมื่อจับอุจจาระแล้วจะไม่เหม็นติดมือมาด้วย
.....พวกที่เรียนวิชามารยามละจากโลกมนุษย์แล้ว มีนรกเท่านั้นเป็นที่ไป ไม่ว่ามันเหล่านั้น เดิมจะเป็นพระภิกษุ สามเณร หรือฆราวาสก็ตาม
.....ยิ่งเป็นพระภิกษุยิ่งต้องตกนรกลึกกว่าคนธรรมดา เพราะรู้แล้วก็ยังฝืนกระทำผิด

ผจญมาร (ตอนที่ 2)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


*** หนังเหนียว
.....ครั้น 2 ปีให้หลัง (พ.ศ.2500) มารก็เริ่มผจญเข้าบ้างแล้ว ครั้งใดที่จิตเคลื่อนจากฐานที่ตั้ง
.....มารก็นิมิตให้เห็นโครงกระดูกของตนเองในปัจจุบันบ้าง เห็นกองกระดูกในอดีตชาติกองทับถมกันสูงเป็นภูเขาบ้าง ถ้าตกใจกลัวก็อาจจะเสียสติเป็นบ้าไปก็ได้
.....นิมิตร้ายๆ เหล่านี้ มารมันส่งมารบกวนอยู่เรื่อยๆ ที่นิมิตให้เห็นเป็นผู้หญิงสวยๆ ก็มี เป็นเสือช้างเข้ามาจะคร่าชีวิตก็มี แต่ข้าพเจ้าก็คุมสติได้ด้วยดีไม่หวั่นหวาดตลอดมา.....เมื่อเห็นว่าสมาธิอยู่ในขั้นดีมีพื้นฐานแน่นพอใช้ได้แล้ว แรงราคะของคนหนุ่มก็ผลักดันให้เผ่นโผนโจนทะยานเข้าสู่เวทีชีวิตมุ่งแสวงหา อาจารย์ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงแห่งยุคกึ่งพุทธกาล เพื่อศึกษาการใช้อำนาจจิตกับท่านเหล่านั้นต่อไป
.....ข้าพเจ้ากราบเท้าฆราวาสท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ เพื่อขอเรียนวิชาคงกระพันหนังเหนียว
.....ท่านผู้อ่านที่รัก มันเป็นเรื่องจริงที่เหมือนฝัน ภายใน 1 ชั่วโมงเท่านั้น ข้าพเจ้าก็สามารถทำให้หนังทั่วสรรพางค์กายเหนียวคงทนศาสตราอาวุธได้
.....โดยใช้ปูนแดงหรือสีผึ้งเสกแล้วคาดคอ หรืออาจจะใช้ใบไม้เช่นใบพลูเสกแล้วกินก็ได้
.....พอกินใบไม้เสกหรือใช้ปูนเสกคาดคอแล้ว ก็จำเป็นต้องลองให้เห็นกับตาจึงจะเชื่อได้
.....ข้าพเจ้ากระชากมีดเดินป่าเล่มใหญ่ถนัดมือออกจากฝัก ใบมีดนั้นขาวเป็นวาววับและคมกริบลองโกนขนหน้าแข้งดู ขนก็ร่วงกราว
.....พออึดใจภาวนาคาถาครบสามคาบก็กลั้นฟันเปรี้ยงๆ ลงไปทั้งบนท่อนแขนท่อนขา
.....อัศจรรย์! หนังข้าพเจ้าเหนียวจริงๆ
.....ไม่มีเลือดออกมา แม้เท่ายางบอน มีแต่รอยแดงๆเป็นแนวคล้ายรอยแมวข่วน
.....เมื่อลาอาจารย์กลับถึงบ้านก็ลองวิชาให้บิดามารดาและญาติสนิทมิตรสหายดู เป็นการประกาศศักดาเดช
.....ทั้งเสกให้ตัวเอง และเสกให้เพื่อนๆด้วย (ครั้งละ 20-30 คน) เสกแล้วก็ทดลองฟังเรียงตัวปรากฏว่าหนังเหนียวทุกคน และเหนียวอยู่ได้ครั้งละไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง
.....อย่าว่าแต่คนเลย แม้สุนัขเมื่อเอาปูนเสกคาดคอให้มันแล้วหนังมันก็เหนียวไม่แพ้คน
.....โบราณเรียกวิชาคงกระพันชาตรีที่ทำให้สัตว์พาหนะ เช่น ช้าง ม้า ที่ขับขี่ไปรบจับศึกหนังเหนียวคงทนอาวุธได้ด้วยว่า วิชาแต่งกองทัพ
.....วันหนึ่งสุนัขที่ใช้ปูนเสกแล้วคาดคอ กำลังนอนหลับสบายข้าพเจ้าใช้ดาบปลายปืนคมกริบลองแทงจนสุดแรงเกิด
.....ผลคือเจ้าสุนัขเคราะห์ร้ายตัวนั้นสะดุ้งโหยง เผ่นกระโจนพรวดกราดขึ้น วิ่งไปครางเอ๋งๆ ไปเดี๋ยวเดียวก็หยุด
.....มันน่าเชื่ออยู่หรือ ไม่มีเลือดออกมาให้แมลงวันได้ลิ้มรสแม้สักหยด
.....ข้าฯ เก่ง ยอดคน เหนือคน
.....ข้าพเจ้ากระหยิ่มใจนึกอยู่อย่างนี่คนเดียว หาได้สำนึกตัวไม่ว่า ตนเองนั้นถลำเข้าไปในอุ้งมือมารผู้ใจบาปแล้ว

ผจญมาร (ตอนที่ 1)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


.....เรื่องราวทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าเขียนขึ้นจากบันทึกประจำวันเกี่ยวกับประสบการณ์ในการฝึกสมาธิและการฝึกใช้อำนาจจิตทั้งที่เป็นวิชาพระและวิชามารควบคู่กันไป.....สำหรับวิชามารนั้นข้าพเจ้าเรียนด้วยความหลงเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือวิชาพระหาได้เป็นเพราะข้าพเจ้ามีจิตใจใฝ่ต่ำไม่
.....การที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องผจญมารขึ้นนี้ไม่ใช่ต้องการจะอวดศักดา อภินิหาร ความวิเศษเก่งกล้า หรือมุ่งตำหนิติเตียนผู้ใดให้เสียหาย
.....โดยเนื้อแท้ก็เพื่อเชิดชูพระพุทธศาสนาให้สูงเด่นเป็นศรีสง่ายิ่งขึ้น และต้องการเตือนใจเยาวชนรุ่นหลัง ไม่ให้หลงเดินทางผิดตามข้าพเจ้ามาอีก
.....ในเวลาเดียวกันก็หวังจะให้เป็นเสียงตะโกนกู่เตือนใจผู้ที่หลงเดินทางผิดไปแล้ว รู้สึกตัวรีบกลับใจเปลี่ยนทิศทางเดินเสียใหม่
.....จะได้ถูกต้องร่องรอยตรงตามหลักธรรมที่เป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา
.....เมื่อข้าพเจ้ากลับคิดทบทวนย้อนหลังไปถึงการฝึกสมาธิของตนเองในอดีตแล้ว ทำให้ใจหาย ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่แล้วมา ข้าพเจ้าได้ย่ำไปทั่วขุนเขาลำเนาป่า
.....เพื่อเสาะหาผู้รู้การปฏิบัติวิปัสสนาที่แท้จริง สู้ทนตรากตรำเข้าไปปรนนิบัติวัฏฐากพระธุดงค์ทรงศีลที่ซ่อนตนปฏิบัติธรรมอยู่ ตามถ้ำ เขา ลำเนาป่าหวังให้ทานสอนธรรม
.....ที่ใดที่มีข่าวเล่าลือกันว่า มีผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้วิเศษ ผู้รู้ธรรมที่นั้น ข้าพเจ้าต้องตั้งต้นซอกซอนจนถึง ขอพบกราบเท้าท่านจนได้
.....สำนักปฏิบัติธรรมทุกแห่งประมวลมีในสมัยนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ไปถึงแล้วเกือบทั้งสิ้น
.....แต่น่าเสียดาย ส่วนมากข้าพเจ้าพบแต่การอบรมสั่งสอนชนิดที่เรียกว่า มารแท้ๆกับพระปนมารทั้งนั้น
.....จนกระทั่งเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วนี้จึงได้พบและเรียนวิชาพระล้วนๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมความปรารถนา
.....ถ้าหากว่าข้าพเจ้าได้เรียนวิชาฝ่ายพระโดยตรงตั้งแต่เริ่มแรก ป่านนี้คงจะก้าวหน้าไปได้ไกลโขทีเดียว

***หลวงพ่อลี
.....ย้อนไปเมื่อ พ.ศ.2498 ข้าพเจ้าเพิ่งจะรุ่นหนุ่มอายุได้ 15 ปี กำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 5 วัยนี้เป็นวัยที่เลือดลมกำลังร้อนระอุ
.....ดังนั้นความหมายมั่นปั้นมืออยากจะเป็นบุคคลสำคัญเหนือคนอื่นย่อมมีอยู่ในสายเลือดข้าพเจ้าบ้างเป็นธรรมดา
.....ประกอบกับความเป็นหัวโจกมีนิสัยเป็นผู้นำ ทำอะไรชอบทำจริง และการเรียนก็ไม่เคยน้อยหน้าใคร ทำให้ข้าพเจ้าออกจะห้าวหาญเอามากๆมีบ่อยครั้งเหมือนกันที่เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งเสีย เพราะความดื้อรั้น
.....แต่จะผิดชอบชั่วดีสถานใดก็ตามเถิด สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าพอใจกระทำเสมอมาคือชอบไปวัดเพื่อหาโอกาสสนทนาธรรมกับ พระภิกษุผู้ฝักใฝ่ในการฝึกสมาธิและวิปัสสนา
.....มาทราบภายหลังว่า นี่เป็นผลของกุศลกรรมในอดีตชาติ
.....ข้าพเจ้าเริ่มลงมือฝึกสมาธิด้วยตนเอง โดยอาศัยค้นคว้าจากตำรับตำราที่พอจะหาได้จากห้องสมุดประชาชน
.....ขั้นต้นลงมือฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ คือฝึกกำหนดสติไว้กับลมหายใจเข้าออก ตามวิธีของหลวงพ่อลี วัดอโศการาม เพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่ง่ายวิธีหนึ่ง ผลการฝึกได้รุดหน้าไปด้วยดีตามลำดับและไม่มีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้น
.....บางครั้งเมื่อเป็นสมาธิแน่วนิ่งดี จะเกิดอาการ คล้ายตกหลุมอากาศบ้าง รู้สึกว่าโลกนี้ทั้งโลก ไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่วตัวเองบ้าง รู้สึกสดชื่นเป็นสุขอย่างชนิดที่หาไม่ได้อีกแล้วในโลกบ้าง
.....บางครั้งทั้งที่กำลังหลับตาก็เห็นเป็นพระพุทธรูปลอยอยู่กลางอากาศ เบื้องหน้าบ้าง ถ้านึกจะขยายให้ใหญ่หรือย่อให้เล็กพระพุทธรูปนั้นก็จะขยายใหญ่ขึ้น หรือย่อเล็กลงได้ตามใจปรารถนา
.....บางครั้งก็เห็นเป็นแสงสว่างคล้ายแสงเงินแสงทองเมื่อยามอาทิตย์ขึ้นพ้น ขอบฟ้าคราวรุ่งอรุณบ้าง เห็นเป็นดวงกลมสว่างลอยอยู่เบื้องหน้าบ้าง ฯลฯ
.....ทุกครั้งที่นั่งฝึกสมาธิก็มีแต่จะสุขสงบยิ่งๆขึ้นไป มันช่างชื่นใจอะไรอย่างนั้น
.....ผู้ใหญ่หลายท่านจับตาดูข้าพเจ้าฝึกสมาธิด้วยความเป็นห่วง บางท่านเข้ามาเตือนด้วยความหวังดีว่าให้เลิกฝึกเสีย
.....เพราะไม่มีครูอาจารย์ควบคุมแนะนำ อาจจะเกิดการผิดพลาดทำให้เสียสติเป็นบ้าก่อนจะบรรลุมรรคผลก็ได้
.....นอกจากขอบคุณในความหวังดีของท่านและระวังคนเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะทำอะไรให้ดีไปกว่านั้น
.....แต่จะให้เลิกฝึกสมาธินั้นเมินเสียเถอะ!
.....ยามว่างจากการเรียน ข้าพเจ้าตั้งหน้าฝึกสมาธิด้วยตนเองต่อไปไม่หยุดยั้งตามแต่โอกาสจะอำนวย

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

เอาชนะโรค "ไมเกรน" โดยไม่ต้องกินยา

เอาชนะโรค "ไมเกรน" โดยไม่ต้องกินยา !?/ โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์



"ไมเกรน" (Migraine) เป็นโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติระบบประสาทที่หลอดเลือด แดงบริเวณศีรษะซึ่งเป็นโรคเรื้อรังไม่หายขาดซึ่งอาจจะมีอาการเป็นครั้งคราว

ลักษณะที่สำคัญของไม เกรน ประกอบด้วย ส่วนใหญ่มักจะปวดศีรษะข้างเดียวประมาณ 60% หรือจะมีอาการปวดศีรษะทั้ง 2 ข้างก็ได้ โดยทั่วไปจะมีอาการปวดศีรษะนาน 4 - 72 ชั่วโมงและมักจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและเวียนศีรษะร่วมด้วย รวมถึงอาการปวดที่ไวต่อแสงหรือเสียงก็ได้

อาการปวด หัวแบบ ไมเกรน จะมีตั้งแต่ระดับปานกลางไปจนถึงมากจนกระทบกับการดำรงชีวิตประจำวัน อาจจะมีอาการปวดตุบๆ แถวขมับ หรืออาจจะจะปวดบริเวณเบ้าตา และอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน อาการปวด ไมเกรนเวลาหายปวดจะหายสนิท และบางคนเวลามีอาการปวด ไมเกรน มักจะมีอาการนำมาก่อนที่จะเกิดอาการปวด เรียก Aura อาจจะเห็นแสงแวบ แสงจ้า ตาพร่ามัว ซึ่งเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนจะมีอาการปวด

คนที่เป็นไมเกรนส่วนใหญ่จะพบการเกร็งตัวของกล้ามเนื้้อ บริเวณบ่า และ มีจุดกดเจ็บของกล้ามเนื้อหดตัวเกร็งจนเป็นก้อนเล็กๆ 0.5 - 1.0 เซนติเมตร (Trigger Point) บริเวณ บ่า ต้นคอ ทำให้เลือดและออกซิเจนไม่สามารถไปเลี้ยงบริเวณจุดนั้นได้ ส่งผลทำให้ไม่สามารถเลือดและออกซิเจนไม่สามารถส่งผ่านไปยังศีรษะได้เต็มที่ เมื่อเลือดไม่สามารถส่งขึ้นไปเลี้ยงที่ศีรษะ 2 ข้างไม่เท่ากัน จึงทำให้เกิดการปวดศีรษะข้างเดียว ที่เรียกว่าไมเกรน

คนที่ทำงานในสำนักงาน และนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆเป็นประจำ มีโอกาสที่จะเกิด Trigger Point ด้านขวาได้บ่อย และเป็นผลทำให้ปวดหัวไมเกรนซีกขวาได้

คนจำนวนไม่น้อยเลือกหยุดอาการไมเกรนด้วยการับประทานยา ซึ่งแม้จะได้ผลในการปวดครั้งนั้น แต่การทานยาแก้ปวดสม่ำเสมอยังมีผลข้างเคียงต่อ กระเพาะอาหาร ตับ และไตอีกด้วย หลอดเลือดอักเสบ ทำให้เมื่อหลอดเลือดขยายตัวแล้วจะเกิดอาการปวดอีกด้วย ถ้าใช้ยาประเภทนี้บ่อยๆจะเกิดโรคลูกโซ่ตามมาจากการใช้ยาแก้ปวดประเภทนี้ใน วันข้างหน้าแน่นอน

ยาแก้ปวดไมเกรน ทุกชนิดมีผลต่อตับอย่างแต่นอน เมื่อตับทำงานหนักและเสื่อมลง ย่อมทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง ซึ่งย่อมให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้อีกหลายโรค

ข้อสำคัญการรับประทานยาแก้ปวดประเภทไมเกรนเป็นประจำ จะทำให้เกิดอาการรุนแรงในการปวดครั้งๆต่อๆไปมากขึ้น และต้องพึ่งยาที่มากขึ้นหรือแรงขึ้นไปอีก จนบางครั้งอาจปวดจนถึงขั้นต้องพึ่งยาฉีดเข้าเส้นเลือดประเภทมอร์ฟีนหรือ สเตอรอยด์เข้าไปด้วย

ความจริงแล้วการกินยาเป็นเพียงการรักษาปลายอาการเท่านั้น ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ จุดกดเจ็บที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ Trigger point ไม่ได้หายไปไหน ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็จะเกิดเป็นกล้ามเนื้อพังผืดเป็นวงกว้างมากขึ้นและ หนามากขึ้น จากการรักษาด้วยการพึ่งพายาแก้ปวดไมเกรน และอาการไมเกรนก็จะหนักมากขึ้น และรักษายากขึ้นด้วย

ด้วยเหตุผลนี้คนที่รักษาโรคไมเกรนจำนวนหนึ่ง จึงไปรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด หรือนวดกดจุดลดขนาดพังผืดบริเวณบ่า และกดเพื่อทำให้จุดกดเจ็บ Trigger Point ให้มีขนาดลดลง ตลอดจนกดจุดบริเวณบ่า คอ ไหล่ และบริเวณศีรษะด้านที่ปวด

ถ้าจะสังเกตให้ง่ายก็คือจุด Trigger Point จะอยู่บริเวณบ่าเป็นก้อนกล้ามเนื้อที่นูนออกมา หากกดลงจะมีลักษณะแข็งจึงจำเป็นต้องกดจุดเหล่านี้ให้มีขนาดเล็กลงหรือนิ่มลง บางครั้งก้อนที่แข็งมากอาจจำเป็นต้องลงศอกเสียด้วยซ้ำ

โดยเฉพาะการกดค้างศีรษะด้านบนค่อนไปข้างหน้า กดด้านที่ปวดห่างจากเส้นกึ่งกลางมา 1 นิ้ว กดค้างให้ลึก 10 วินาทีต่อครั้งแล้วปล่อยทำหลายๆครั้งจะหยุดได้แบบฉับพลัน แม้ว่าการปวดนั้นจะลามมาถึงการปวดที่เบ้าตาแล้วก็ตาม

นอกจากนี้ หลายคนที่พยายามจะหลีกเลี่ยงการรับประทานยาก็ใช้วิธีอื่น เช่น การราดน้ำศีรษะด้วยน้ำเย็นต่อเนื่องกัน 5 -10 นาที, การแปะด้วยถุงเจลแช่เย็น (Cold Pad) บริเวณหน้าผากและเบ้าตา, การรีบนอนให้เร็วโดยทันทีเมื่อเริ่มมีอาการ ฯลฯ

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการหยุดอาการปวดที่ทรมานได้ โดยไม่ต้องใช้ยา แต่ที่กล่าวมาก็ยังไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เป็นเพียงการหยุด"ปลายอาการ" เท่านั้น!!!

เพราะโรคไมเกรนของคนส่วนใหญ่มักไม่ได้เกิดขึ้นในตอนวัยเด็ก และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกรรมพันธุ์ แต่มักจะเกิดขึ้นเมื่อโตมากขึ้นแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยภายนอก ได้หลายอย่าง เช่น

1.อาหาร พบว่าอาหารหลายชนิดที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้มาก เช่น นมวัว เนย ชีส ช็อคโกแลต ไวน์แดง เบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถั่วบางชนิด กล้วยสุกงอม ชา กาแฟและเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน น้ำตาลเทียม ผงชูรส แอสปาแตม รวมถึงสารที่แต่งอาหารบางชนิดก็มีผลเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ ไมเกรนได้ด้วย เช่น สารไนไตรด ไนเตรด ซึ่งจะพบในอาหารพวก เบคอน ไส้กรอก ซาเซมิ แฮม

คนส่วนใหญ่ที่เป็นไมเกรนแล้วงดอาหารที่กล่าวมาข้างต้นมักมีอาการไมเกรนลดลงอย่างเห็นได้ชัด!

2. ระดับฮอร์โมน ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ เช่น ช่วงที่มีประจำเดือน รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ได้รับฮอร์โมนทดแทน และกำลังตั้งครรภ์ เป็นต้น

3. สภาพร่างกาย สภาพร่างกายที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ เช่น นอนไม่พอ เครียด ทำงานหนักมากเกินไป ท่านั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม มีลักษณะงานที่ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวต่อเนื่องนานๆ (รวมถึงการเกร็งตัวจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน) และอดอาหาร เป็นต้น

4. การออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่มากเกินก็สามารถกระตุ้นให้เกิดการกำเริบของอาการปวดหัวไมเกรนได้

5. สภาวะแวดล้อม สภาวะแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ เช่น อาการร้อนหรือหนาวจัด แสงแดดจ้า กลิ่นไม่พึงประสงค์บางอย่าง เช่น กลิ่นบุหรี่หรือกลิ่นน้ำหอม เป็นต้น

6. ยาและสารเคมีบางชนิด ยาและสารเคมีบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการปวดศีรษะได้ เช่น nitroglycerine, Hydralazine, Histamine, Resepine เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่ปวดหัวไมเกรน ไซนัส จำนวนมากมีประวัติกินยาแก้อักเสบ ยากแก้แพ้ และ ยาลดน้ำมูกเป็นประจำ
จะเห็นได้ว่าโรคไมเกรนส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมของเราเองส่วนหนึ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ และเกิดจากสภาวะแวดล้อมอีกส่วนหนึ่ง

ดังนั้นเมื่อโรคนี้เกิดจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม การแก้ไขที่ตรงจุดจึงย่อมไม่ใช่การรับประทานยาแก้ปวด แต่ต้องพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับตัว เองน่าจะถูกต้องกว่า

หรือไม่ก็ต้องรู้จักปรับสมดุลให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและสภาวะแวดล้อมที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้

แต่หลายคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้และต้องการหายขาด เท่าที่ได้พบเห็นก็ดูเหมือนว่าการรักษายังคงมีอีกหลายวิธีที่เป็นการแพทย์ ทางเลือก เช่น การดื่มน้ำปัสสาวะบำบัด, การฝังเข็ม, การดีท็อกซ์, การรับประทานอาหารสมดุลร้อน-เย็น, การล้างพิษตับ, การนั่งสมาธิ ฯลฯ

ด้วยพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของคนในยุคนี้เปลี่ยนไป ทำให้โรคปวดหัว ไมเกรนนับวันจะมีคนเป็นมากขึ้น เป็นโรคที่ปวดแล้วทรมาน หากรู้จักแนวทางในการป้องกันและรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้ยา ก็จะพบว่าความถี่ในการเกิดโรคไมเกรนจะค่อยๆทิ้งช่วงนานขึ้น ปวดน้อยลง และหายได้ในที่สุด

ผมเป็นคนหนึ่งที่ปวดไมเกรนมาเป็นเวลาเกือบ 15 ปี รักษามาแล้วหลายวิธี ใช้ยาแรงมาแล้วก็มาก แต่พึ่งจะหายจากโรคนี้ได้โดยไม่มีอาการแม้แต่วันเดียวในปีนี้ และเป็นปีแรกที่ไม่ต้องอาศัยยาเคมีแม้แต่เม็ดเดียว ก็ด้วยการใช้แนวทางธรรมชาติบำบัดของชาวสันติอโศกควบคู่ไปกับการหาเหตุผลใน ทางวิทยาศาสตร์

แม้ความจริงจะมีรายละเอียดอยู่มากในการอธิบายเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ขอเขียนอธิบายมาโดยสรุปพอสังเขปให้เหมาะกับพื้นที่นี้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ช่วยกันทำบุญแบ่งปันข้อมูลนี้ เพื่อคลายทุกข์ให้กับคนที่ทรมานจากโรคนี้ต่อไป

“อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐโดยแท้!!!

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มีพบย่อมมีพราก...

เป็นธรรมดา...
" ...เมื่อเรายืนมือรับสิ่งอันเป็นที่รัก
เราก็จะต้องรับความพลัดพรากจากของรักนั้นมาด้วย "

หากไม่อยากพบกับความพลัดพราก  ก็ไม่ต้องเปิดใจรับ...
อาจทุกข์ทรมานในช่วงแรก แต่ท้ายที่สุดก็จะลืมไปได้เอง  
ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป...

 

ยอม...

เราต้องอดทน รู้จักยอมแพ้ ไม่เอากิเลสของเราไปเอาชนะใคร
ให้เห็นใจกัน ให้ความอบอุ่นแก่กัน พร้อมที่จะให้อภัย
ใจเราจะสูง ใจของเราจะกว้าง และใจเราจะสมบูรณ์
เมื่อใดมีปัญหา ให้หันมามองตัวเอง และแก้ไขตนเองก่อนเสมอ
ถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน ขอให้เห็นคนสำคัญกว่างาน
ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เปลี่ยนแปลงไป
ขอเพียงเราอดทนในสถานการณ์นั้นๆ ให้ได้ และตั้งมั่น อยู่ในบุญ ปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลายไปเอง

พระเทพญาณมหามุนี

การก่อผนังอิฐบล็อก

ที่มา :  https://itdang2009.com/อิฐบล็อก-และเทคนิคการก่/ อิฐบล็อก และเทคนิคการก่ออิฐบล็อก ...