วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผมสวย ด้วยวิธีที่อิงธรรมชาติมากที่สุ
1. น้ำเปล่า น้ำืำทำหน้าที่ดูดซึมวิตามินกรดอะมิโนเกลื่อแร่ต่างๆ และยังทำให้ผมชุ่มชื่นนุ่มสลวยด
2. วิตามิน A เพื่อผมแข็งแรง ได้จาก มะละกอ บร็อกโคลี่ ฟักทอง
3. วิตามิน B 6 ทำให้เส้นผมทำงานดีขึ้น ได้จาก ปลาทูน่า ปลาแซลมอน กล้วย
4. วิตามิน B 12 ป้องกันผมร่วง ได้จาก นมวัว หอยลาย สาหร่าย
5. วิตามิน C ผมแข็งแรงไม่เปาะง่าย ได้จาก รากบัว มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ
6. วิตามิน E เส้นผมเงางามวาววับ ได้จาก น้ำมันมะเล็ดดอกทานตะวัน ผักบุ้ง ผักโขม
7. โปรตีน สร้างเส้นผมใหม่ให้งอกงาม ได้จาก ปลาโอ เนื้อสัตว์ต่างๆ เห็ดต่างๆ
8. แคลเซียมบำรุงผมให้แข็งแรงสุขภาพดี ได้จาก ปลาเล็กปลาน้อย งาดำ กุ้ง
9. กรดโฟลิก ผมงามเป็นประกาย ได้จาก ตับ ข้าวโพด หน่อไม่ฝรั่ง
10. ไบโอติน ผมดีไม่มีเปาะ ได้จาก หอยนางรม ถั่วแดง ถั่วเขียว
11. ทองแดง ผมดำตลอดกาล ได้จาก ปลาโอ โกโก้ พริกแห้ง
12. สังกะสี หนังศีรษะไม่แห้งไม่เกิดรังแค ได้จาก จมูกข้าวสาลี อัลมอนด์ ปลาอินทรี

ชา กาแฟ ถ้าคุณอยากมีผมดำสลวย และแข็งแรงก็ต้องบอกลาเครื่องดื่มเหล่านี้ เพราะในชา กาแฟมีสารที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้มากเท่าที่ควรและเมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะทำให้ผมอ่อนแอหลุดร่วงง่ายค่ะ

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชาติก่อนและชาติปัจจุบันของสุกรตัวหนึ่ง

มีพระชราท่านหนึ่ง ตอนที่ท่านเดินผ่านโรงฆ่าสัตว์ ท่านอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ แล้วท่านก็พูดถึงอดีตชาติของท่าน
“มัน เป็นเรื่องยาว อาตมา ระลึกถึงอดีตชาติของอาตมาได้ ในชาติหนึ่ง อาตมาเป็นคนฆ่าสัตว์ และมีรายได้จากการฆ่าสัตว์ อาตมาเสียชีวิตตอนอายุสามสิบ จิตวิญญาณของอาตมาถูกยมทูตหลายองค์พาไปที่นรก ยมบาลได้ดุว่าอาตมาเนื่องจากกรรมหนักจากการฆ่าของอาตมา และนำจิตวิญญาณของอาตมาไปไว้ในกงล้อ ในนรก เพื่อชดใช้กรรม อาตมาอยู่ในภวังค์ และไม่รู้สึกตัว ราวกับว่าอาตมาเมาเหล้า หรืออยู่ในความฝัน อาตมารู้สึกแต่ว่า ศีรษะของอาตมาร้อนมากจนทนไม่ได้ ในเวลาต่อมา อาตมารู้สึกเย็นลงเล็กน้อย และพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของสุกร และพบว่าตัวเองนั้นเกิดใหม่เป็นสุกร”

“ตอนที่ อาตมาเกิดเป็นสุกร อาตมาร้องครางอย่างเด็กทารก อาตมาเห็นว่า ผู้คนมักจะนำเศษอาหารสกปรก มีกลิ่นเหม็นมาให้เสมอ อาตมารู้ว่าอาหารนั้นไม่สะอาด และพยายามที่จะไม่ทานอาหาร แต่อาตมาก็หิวจนทนไม่ได้ และอวัยวะภายในของอาตมาเจ็บปวดมาก ราวกับว่ามันถูกเผาไหม้ด้วยไฟ อาตมาไม่มีทางเลือกนอกจากทานอาหารสกปรกนั้นเพื่อรักษาชีวิตไว้ อาตมาเรียนภาษาสุกรอย่างช้า ๆ และสามารถพูดกับเพื่อนสุกรของอาตมาได้

ที่จริงแล้ว สุกรจำนวนมากมายสามารถระลึกได้ว่า พวกเขาเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แค่ว่าตอนนี้ พวกเขาเกิดมาเป็นสุกร พูดภาษาที่ต่างไป และไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ ตอนที่พวกเขากำลังจะถูกฆ่า พวกเขาทราบดีไม่มากก็น้อยว่าวันนั้นกำลังมาถึง พวกเขาจะโอดครวญอย่างเศร้าสร้อย และด้วยดวงตาเปียกปอน”

“การเป็นสุกร ร่างกายของพวกเรานั้นหนักมาก และเราเดินได้ไม่สะดวกนัก ในฤดูร้อนเรากลัวความร้อน และต้องแช่ตัวเองในโคลนเพื่อให้รู้สึก เย็นลง อย่างไรก็ดี สิ่งนี้เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เป็นจริงได้ไม่บ่อยนัก ขนของเรานั้นหยาบ และแข็ง และมีน้อย เราจึงกลัวความหนาวเย็นในฤดูหนาว การได้รู้ว่าสุนัขและแกะมีขนหนา เหมือนพรมบนร่างกาย เราคิดว่าพวกเขาเป็นสัตว์ที่ได้รับ การปฏิบัติอย่างสวรรค์ ในเวลาที่ถูกฆ่า แม้ว่า เราจะรู้ว่า มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรายังดิ้นรน กระโดด และพยายามหนี จากนั้น คนฆ่าจะจับตัวเราไป พวกเขาเหยียบบนตัวเรา และมัดคอและขาทั้งสี่ของเราด้วยเชือก เชือกนั้นถูกมัดไว้อย่างแน่น จนมันสัมผัสกระดูกของเรา

มันเจ็บปวดมากราวกับว่ากำลังถูกกรีดด้วยมีด พอเราถูกขนไปยังเรือ หรือรถเข็น สุกรทุกตัวจะถูกอัดแน่นไว้ด้วยกัน จนกระดูกของเราแทบหัก เลือดของเราไหลเวียนได้ไม่ดี และท้องของเราบวมราวกับว่ามันถูกผ่าออกมา บางครั้ง ผู้คนแบกสุกรหลายตัวพร้อมกันไว้บนเสาไม้ไผ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดทรมานมาก จนเราหวังว่า เราตายเสียดีกว่า

พอมาถึงโรงฆ่า เราถูกโยนลงบนพื้น และหัวใจและอวัยวะภายในของเราถูกเขย่าราวกับว่า มันจะระเบิดออก สุกรบางตัวตายเพราะความเจ็บปวดอันสุดแสนจะทนทรมาน บางครั้งสุกรถูกมัดไว้เป็นเวลาหลายวัน โดยมีมีด เขียงหั่น และหม้อน้ำร้อนขนาดใหญ่ วางอยู่ด้านขวา เมื่อนึกถึงว่า มันจะเจ็บปวดแค่ไหนตอนที่ถูกเฉือนด้วยมีด และถูกถอนขนด้วยน้ำร้อน เราไม่สามารถหยุดสั่นตัวเองได้ บางครั้ง เมื่อนึกดูว่า เราจะถูกชำแหละแยกชิ้นส่วนและกลายเป็นเครื่องปรุงในหม้อซุป เรารู้สึกหมดอาลัยในความสิ้นหวัง”

“พออาตมากำลังจะถูกนำไปฆ่า อาตมารู้สึกหวาดกลัวและเวียนศีรษะ ทันใดที่อาตมาถูกคนชำแหละจับตัวไป สี่ขาของอาตมาอ่อนแรง หัวใจสั่น และจิตวิญญาณของอาตมารู้สึกราวกับว่า มันบินออกจากกลางกระหม่อมของอาตมาไป ตอนที่อาตมาถูกวางลงบนเขียงชำแหละ อาตมาไม่สามารถเผชิญหน้ากับใบมีดสะท้อนแสงนั้นได้ อาตมาจึงแค่ปิดตา และรอให้เขาเฉือนคอของอาตมา คนฆ่าเฉือนคอของอาตมาก่อน และตะแคงใบมีดเพื่อให้เลือดของอาตมาไหลลงไปในหม้อ ความเจ็บปวดนั้นเกินกว่าที่จะบรรยาย! เนื่องจากอาตมาไม่ได้ตายในทันใด



สิ่งเดียวที่อาตมาทำได้ก็คือกรีดร้องเสียงดัง หลังจากที่เลือดของอาตมาไหลออกไป คนฆ่าก็แทงไปที่หัวใจของอาตมา ซึ่งทำให้อาตมารู้สึกเจ็บจนถึงกระดูก และอาตมาไม่สามารถร้องตะโกนได้อีกต่อไป อาตมารู้สึกเข้าสู่ภวังค์อย่างช้า ๆ และรู้สึกราวกับว่า อาตมาเมาสุรา หรืออยู่ในความฝัน ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่อาตมาเกิด

“นานมาก...หลังจากนั้น... อาตมามองไปที่ตัวเอง และพบว่า จิตวิญญาณของอาตมา กลับสู่นรกอีกครั้ง ยมบาลตัดสินให้อาตมาเกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง หลังจากที่พบว่า อาตมาได้ทำความดีบางอย่างในชาติก่อน ในชาตินี้ พออาตมาเห็นสุกรที่กำลังจะถูกฆ่า และอยู่ในความทุกข์ตรม อาตมาก็นึกถึงความจริงที่ว่า คนที่กำลังฆ่าสุกรพวกนั้น จะผจญกับชาตาชีวิตเดียวกันในอนาคต แล้วอาตมาก็คิดถึงตัวเอง อาตมาร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้”

หลังจากที่พระท่านเล่าเรื่องนี้ของท่าน ให้กับนักฆ่า เขาก็วางมีดลงบนพื้นในทันใด และเปลี่ยนอาชีพไปขายผัก

โดย ชิ เซียว ลาน บทคัดลอกจาก “Observe All, Thatch Hut Note”

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 10 จบตอน)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ



***กรรมฐาน 40
.....การฝึกทั้งสี่สิบวิธีที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคต่างถูกต้องทั้งนั้น แต่ต้องเลือกฝึกให้ถูกกับอัธยาศัยของตน
เช่นพวกที่รักสวย รักงามติดรูป ติดเสียง ท่านให้ฝึกเพ่งอสุภะ จิตใจจะได้สลด ละรูป ละเสียงได้เร็ว แล้วเลือกวิธีอนุสติอื่นๆ ฝึกต่อไปจนกว่าจะเห็นมรรคผล
.....ส่วนพวกที่มีโทสจริตควรจะฝึกเพ่งกสิณ เพราะต้องเพ่งกำหนดอย่างสำรวยจริงจังทำให้ละโทสะได้เร็ว
.....บุคคลทั้งสองจำพวกดังกล่าว ถ้ายังฝึกฝนมายังไม่ดีพอ จิตใจยังคับแคบเข้าไม่ถึงแก่นแท้มักจะเป็นปากเสียงกันเอง หลงเข้าใจว่า วิธีของตนดีที่สุด ฝ่ายตรงกันข้ามเป็นฝ่ายผิด
.....ข้าพเจ้าฝ่ายการอบรมจากหลายครูมากอาจารย์ ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ทั้งพระทั้งมาร จนสามารถจะกล่าวได้ว่า วิธีการฝึกทั้งสี่สิบวิธีนั้น พอจะเข้าใจได้หลายส่วน
.....และสรุปได้ว่า การฝึกทั้งหมดที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหมวดใหญ่สามหมวดด้วยกันตามผลของการปฏิบัติเบื้องต้นว่า :-
.....หมวดที่หนึ่ง เมื่อฝึกแล้ว ถ้ายังไม่ไม่ถึงที่สุด จะเกิดความรู้นำหน้าแต่ยังไม่เห็น (รู้ไม่ทันเห็น)
.....ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราปิดสวิทซ์ไฟเราก็รู้ว่าไฟฟ้าจะวิ่งไปตามสายเข้าสู่หลอดไฟแล้วเกิดแสงสว่างแต่เราไม่เคยเห็นว่า ตัวไฟฟ้ามีรูปร่างลักษณ์เป็นอย่างไร
.....การฝึกในหมวดที่หนึ่งได้แก่ การเพ่งอสุภะและกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นต้น
.....เมื่อฝึกแล้วจะเกิดความรู้ในสภาวธรรมได้เร็วมาก รู้ว่าทำบุญย่อมได้บุญจริง ทำชั่วย่อมได้บาปจริง รู้ว่านรกมีจริงและสวรรค์ก็มีจริง
.....แต่พอถามว่าเคยเห็นหรือว่านรกและสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เคยเห็นแต่รู้ว่ามี หรือถ้าเห็นก็มักเห็นไม่ค่อยตรงตามร่อยรอยของพระศาสนาเต็มที่นัก
.....หมวดที่สอง เมื่อฝึกแล้วจะเห็นแต่ไม่มีความรู้ (เห็นไม่ทันรู้) ยกตัวอย่างเช่น
.....เด็กๆไปยืนอยู่ริมทะเลยามเช้า และเห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก ครั้งเย็นลงก็เห็ฯพระอาทิตย์ลับไปทางทิศตะวันตก
.....เห็นวนเวียนอย่างนี้ทุกวัน แต่เด็กไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าโลกกลม
.....การฝึกในหมวดนี้ ได้แก่การฝึกเพ่งกสิณต่างๆ เช่น เพ่งวงกลมดิน วงกลมน้ำเป็นต้น แต่เอาจิตไปตั้งไว้นอกกาย เช่นตั้งไว้ที่วงกลมเหล่านั้น
.....เมื่อฝึกจนเห็นนิมิตดวงกสิณแล้วก็สามารถจะเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าหรือนรกสวรรค์ได้
.....ขณะที่อยู่ในสมาธิเขาอาจะเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าว่า นาย ก. ถ้าออกจากบ้านไปในวันนี้จะต้องถูกรถยนต์ชนตาย แต่ก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
.....หรือเห็นว่า นาย ข. ถ้าออกจากบ้านในวันนี้จะต้องไปได้ลาภ แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเช่นกัน
.....ทั้งนี้เพราะการเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร จึงทำให้เกิดความงามงายคือเชื่อดวง แทนที่จะเชื่อกรรม
.....ผู้ที่ฝึกในหมวดที่หนึ่งมักจะไม่ยอมเชื่อว่า ผู้ที่ฝึกในหมวดที่สองสามารถเห็นอะไรแปลกๆได้
.....และผู้ที่ฝึกในหมวดที่สองก็มักจะไม่เชื่อว่าผู้ที่ฝึกในหมวดแรกจะรู้อะไรเกินกว่าที่ตัวเขารู้ได้
.....บุคคลที่ฝึกในสองหมวดแรกนี้จึงมักจะเป็นปากเสียกันบ่อยๆ
.....ต้องให้พวกที่ฝึกหมวดที่สามเป็นผู้ตัดสิน แก้ข้อข้องใจให้
.....หมวดที่สาม การฝึกในหมดที่สามนี้ ทำให้เกิดความรู้และสามารถเห็นได้ แม้จะฝึกค่อนข้างยากกว่าสองหมวดแรกบ้าง แต่มีประโยชน์มหาศาล
.....ผู้ที่ฝึกจะเห็นภาพการกระทำของนาย ก. ตั้งแต่อดีตชาติจนปัจจุบัน ตลอดจนอนาคต
.....และจะรู้ด้วยว่าเนื่องจากผลกรรมปาณาติบาตจึงทำให้เขาถูกรถชนตาย
.....และทั้งรู้ทั้งเห็นว่าที่นาย ข. ออกจากบ้านจะได้ลาภ เพราะผลทานในอดีตและปัจจุบันได้ตามมาทันแล้ว
.....สำหรับผู้ที่ฝึกในหมดที่หนึ่ง เมื่อเกิดความรู้แล้ว ถ้าต้องการให้เกิดความรู้แล้ว ถ้าต้องการให้เกิดความเห็นเหมือนอย่างในหมวดที่สามด้วย ก็จะทำได้ง่ายมาก โดยการเปลี่ยนที่ตั้งจิตใหม่
.....เป็นต้นว่า เคยตั้งจิตไว้ที่หน้าท้องหรือปากช่องจมูก ครั้งกำหนดลมหายเข้าออกจนจิตสงบดี มีความสว่างหรือเห็นดวงสว่างขนาดต่างๆ กันเกิดขึ้นลอยคว้างอยู่ข้างหน้าแล้ว
.....ก็ให้น้อมเอาดวงสว่างนั้นเข้าไปไว้ภายในท้อง ตรงกลางกาย
.....(นึกขึงเส้นด้ายสองเส้นให้ตึงตรงเหนือสะดือสองนิ้ว น้าทะลุหลัง ขวาทะลุซ้า ตรงจุดกึ่งกางที่เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเรียกว่า กลางกาย)
.....ดาวงสว่างที่เห็นจะขยายใหญ่เต็มที่สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมกัน แล้วมองเข้าไปตรงศูนย์กลางดวงสว่างนั้นไม่ยอมถอน
.....ก็จะเกิดความรู้และสามารถเห็นพร้อมกันไป
.....สำหรับผู้ที่เคย เพ่งกสิณและเพ่งเทียน ก็เช่นกัน
.....ให้น้อมเอาดวงกสิณไปไว้ตรงกลางกายตามวิธีดังกล่าวก็จะสามารถเห็นนิมติได้ชัดขึ้นกว่าเดิม
.....แล้วกำหนดจิตอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ เหมือนพวกที่ฝึกในหมวดแรกก็จะเกิดทั้งความรู้และความเห็นเช่นกัน จะได้ไม่ต้องเป็นปากเป็นเสียงกันต่อไป
.....สำหรับผู้ที่ฝึกใหม่ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ฝึกในหมวดที่สามโดยตรง
.....จะสามารถเรียนลัดย่นระยะการฝึกลงได้หลายสิบปี และสามรถจะรู้เห็นได้ไกลกว่าพวกที่ฝึกในสองหมวดแรก
.....หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ล่วงลับไปแล้วก็ฝึกอยู่ในหมวดที่สาม
.....จึงถูกผู้ที่ไม่รู้จริงกล่าวร้ายถึงกับมีคณะกรรมการสงฆ์ไปสอบสวนว่าท่านหลอกลวงประชาชน
.....แต่ยังนับว่าเป็นโชคดีของชาวพุทธทุกคน ที่ไม่ต้องสูญเสียวิธีปฏิบัติธรรมอันชาญฉลาดในหมวดที่สามไป
.....คณะกรรมการสงฆ์ที่ส่งไปสอบสวนในครั้งนั้นได้มีอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ร่วมไปด้วย
.....ท่านรูปนี้มีความรู้แตกฉานในการฝึกสมาธิวิปัสสนากรรมฐานทั้งสี่สิบวิธี ให้คำยืนยันว่าการปฏิบัติธรรมของวัดปากน้ำภาษีเจริญ ถูกต้องทุกประการหลวงพ่อจึงพ้นมลทินฯ

***ส่งท้าย
.....เมื่อท่านอ่านบันทึกนี้แล้ว หวังว่าท่านคงจะได้ข้อเตือนใจให้ละทิ้งวิชามาร หันมาปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องร่องรอยของพระศาสนา
.....อย่าปล่อยให้ราศีดำขึ้นจนเต็มหน้าจะยากต่อการแก้ไข สิ้นชีวิตแล้วะต้องตกนรก พ้นเวรจากนรกก็จะมีมิจฉาทิฏฐิติดตัว
.....แม้จะไปพบพระพุทธเจ้าเบื้อหน้าอีกก็จะถูกมารชักจูงให้หลงเป็นพวกเดียรถีย์ทำลายศาสนาก่อบาปกรรมอีกมากมาย
.....สำหรับท่านที่เดินถูกทางมาแล้วก็ขอให้เดินต่อไปอย่าเห็นแก่เหน็ดเหนื่อยและอย่าประมาท
.....พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระมงคลเทพมุนีเคยเตือนสติเสมอว่า
.....ชนโคควายทั่วกายเท่าใดเล่า
.....แต่มีเขาเพียงคู่ไว้สู้สิงห์
.....หวังนิพพานล้านแสนแม้นทำจริง
.....ทั้งชายหญิงรอดไปไม่กี่คน
.....วัวแต่ละตัวมีเขาเพียงคู่เดียว แต่มีขนจำนวนมากมาย ฉะนั้นใครต้องการจะหลุดพ้น ซึ่งเปรียบเสมือนเขาโคก็ต้องเร่งระวังตนอย่าประมาท
.....สำหรับอาจารย์ทุกท่าน ที่เคยอุปการะเลื้ยงดูและรักข้าพเจ้าประดุจบุตร มีความปรารถนาดีต่อข้าพเจ้าตลอดมา
.....พระคุณของท่านใหญ่หลวงนัก และยังตรึงฝังแน่นในดวงใจไม่รู้คลาย
.....ทุกท่านที่สอนวิชามารให้ข้าพเจ้าก็เป็นเพราะรู้เท่านไม่ทันเหลี่ยมมารย่อมได้รับการอภัยจากท่านผู้อ่าน และการที่ข้าพเจ้าเขียนตำหนิวิชามาร ก็เพื่อต้องการชี้แจงเหตุผลและข้อเท็จจริง
.....ถึงแม้จะเป็นการแระทบกระเทือนกันบ้างก็ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ครูอาจารย์ ข้าพเจ้าอาจถือเอาบุญคุณส่วนตัวมาบิดเบือนความจริงอันเป็นประโยน์ต่อส่วนรวมและพระศาสนา
.....ทั้งนี้ย่อมถือได้ว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ไม่เคยคิดจะล้างครู แต่เป็นศิษย๋ที่ยิ่งด้วยศิษย์ เพราะอาจารย์สามารถใช้สอยและพึ่งพาได้

เผด็จ ผ่องสวัสดิ์
9 ธันวาคม 2512

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 9)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


***บุญเก่า
.....ก่อนที่จะสายเกินไปและวันนั้นคือวันที่ข้าพเจ้าสิ้นเวรเลิกล้มการฝึกวิชารมาร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสิ้นมารที่ต้องต่อสู้ตามล้างผลาญกันต่อไป
.....มีใครบางคนกล่าวว่า ถ้าไม่วิ่งเผลอไปเอาหัวชนฝาเข้าสักโครมสองโครมแล้วละก็จะยังไม่ได้คิด แต่เมื่อใดวิ่งไปเอาหัวชนฝาชนิดจังๆ เข้าก็จะเกิดความสว่างไสวทันที
.....มันก็เข้าทำนองที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงทรมานพญานาคกับพวกชฎิลจึงจะได้คิดว่า อ้อ! ที่เราทำไปแล้วนั้นผิดทั้งเพ
.....ข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนผู้วิ่งเอาหัวไปชนฝาเสียก่อนจึงได้คิด
.....มันเป็นวันประวัติศาสตร์ของวงการฝึกสมาธิก็ว่าได้ วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2510 เป็นเวลาเช้า ข้าพเจ้านั่งดับพิษน้ำมัน
.....(เอาน้ำมันมะพร้าวต้มให้เดือด ใช้สมาธิจิตเพ่งและใช้ภาวนาคาถากำกับ ถึงแม้น้ำมันจะกำลังเดือดอยู่ แต่จะไม่รู้สึกร้อนถ้าเอามือจุ่มลงไป อย่างมากก็จะรู้สึกอุ่นๆ แต่ไม่ถึงกับพอง)
.....มีผู้ดูซึ่งเป็นเพื่อสนิทหลายคนและเคยเห็นข้าพเจ้าดับพิษน้ำมันมาก่อนแล้วเกือบทั้งนั้น
.....แต่ครั้งนี้ข้าพเจ้าเอามือจุ่มลงไปในน้ำมันครั้งใดเป็นพองทุกที มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้าดับพิษน้ำมันไม่ลงเพราะอะไรหรือ?
.....ข้าพเจ้ากลับไปนอนคิด ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่วิชาเหนียวคงกะพัน สะกดจิต ใส่ปรอด สะเดาะโซ่ตรวน
.....ซึ่งข้าพเจ้าเคยทำได้ผลมาก่อนก็พลันเสื่อมไปหมดไม่สามารถจะทำได้อีก ทั้งๆที่สมาธิของข้าพเจ้ายังดีเหมือนเดิม
.....สิ่งที่หนึ่งที่ข้าพเจ้าสังเกตคือ ทุกครั้งที่ทำการแสดงการใช้อำนาจจิตไม่ได้ผล
.....จะต้องมีบุคคลสองคนนี้ร่วมชมด้วยทุกครั้งคือ คุณอุดม พูลเกษ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคุณไชยบูลย์ สุทธิผล
.....ทั้งสองท่านที่กล่าวมานี้ ในระยะต่อมาจึงได้ทราบว่า ต่างเป็นนักฝึกสมาธิของสำนักวัดปากน้ำ ภาษีเจริญและฝึกจนบรรลุธรรมกายมาแล้วทั้งคู่
.....ไม่เพียงแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ไม่สามารถใช้อำนาจจิต ตามแบบฉบับของมารได้
.....แม้แต่อาจารย์ของข้าพเจ้าผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วประเทศก็เช่น เดียวกัน ต่อหน้าบุคคลทั้งสองนี้แล้วทำอะไรไม่ศักดิ์สิทธิ์เลย
.....คำอธิบายสั้นๆ จากคุณไชยบูลย์คือ
.....คนเราถ้าจะเปรียบแล้วก็เหมือน ตู้วิทยุ สมาธิเปรียบเหมือนเครื่องรับวิทยุ ภายในตู้
.....ถ้าเครื่องดีก็สามารถรับคลื่นเสียงได้ชัดเจน ทั้งคลื่นสั้น คลื่นยาว ทั้งในระยะไกลและใกล้
.....ส่วนจะเลือกรับคลื่นที่ส่งมาจากมารหรือจากพระนั้น แล้วแต่ผู้ฟังหรือจิตของเราเองว่าจะฝักใฝ่ไปในทางใด
.....เพราะข้าพเจ้าหลงไปรับฟังหรือเลือกรับเฉพาะคลื่นของฝ่ายมารมาตลอดเวลา จึงทำวิชามารได้ศักดิ์สิทธิ์
.....แต่เมื่อบุคคลทั้งสองนี้ซึ่งก็เปรียบเหมือนสถานีย่อยของฝ่ายพระมาอยู่ใกล้ๆ
.....คลื่นจิตฝ่ายมารไม่สามารถส่งถึงหรือถูกรบกวนอย่างหนัก ข้าพเจ้าจึงใช้อำนาจจิตฝ่ายมารไม่ได้ผล

***ฝึกธรรมกาย
.....เมื่อรู้ตัวเช่นนี้ เรื่องอะไรข้าพเจ้าจะเป็นตัวสื่อสารให้มารมันต่อไป จึงเริ่มฝึกเรียนวิชาธรรมกายทันที จากคุณไชยบูลย์
.....ในระยะ 3 เดือนแรก มันช่างทรมานใจอะไรอย่างนั้น ไม่มีอะไรอีกแล้วจะทรมานไปกว่านี้
.....ขณะนั่งฝึกสมาธิ ถ้าจิตเคลื่อนไปจากที่ตั้งแม้เท่าปลายเข็ม อาจารย์มารที่ล่วงลับไปแล้วต้องตามมารังควานทันที
.....เหมือนกับเวลาปรับคลื่นวิทยุ ถ้าเคลื่อนไปนิดเดียวจะมีคลื่นอื่นเขามารบกวนทันที
.....วิธีรังควานของมันก็คือนิมิตให้เห็นเป็นภาพน่าเกลียดน่ากลัวหลอกหลอนต่างๆ นานา
.....ฝ่ายอาจารย์สอนดับพิษไฟให้ก็ร้าย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกจับโยนเข้าไปกลางกองไฟ
.....พอลืมตาขึ้นก็หายไป แต่พอหลับตาก็เป็นอีก
.....บางทีก็เห็นและรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบจนปวดกระดูก แน่นอน ต้องเกิดจากอาจารย์มารเจ้าของวิชาธนูมือ
.....จะแผ่เมตตาเท่าใดมันก็ไม่ยอมเลิก จนอาจารย์ฝ่ายพระต้องลงมือควบคุมอย่างใกล้ชิดอาการต่างๆ ดังกล่าวจึงหายไป
.....ต่อมาข้าพเจ้าได้ติดตามคุณไชยบูลย์ไปวัดปากน้ำภาษีเจริญ เพื่อจะปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ไปวัดปากน้ำ
.....ครั้งแรกไปเมื่ออยู่ชั้นมัธยมหก แต่มารดลใจให้แลเห็นพระเป็นมาร
.....พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ สอนให้ฝึกวิชาธรรมกายซึ่งเป็ฯวิชาฝ่ายพระโดยตรงข้าพเจ้ากลับปฏิเสธ
.....เพราะมีความเห็นว่า “เรียนแล้วทำให้หนังเหนียวไม่ได้ วิชาคงกระพันดีกว่า” หาได้นึกไม่ว่า ถึงหนังเหนียวก็ไม่สามารถทำให้พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายได้
.....เมื่อย้อนกลับมาเป็นคำรบสอง ก็ต้องเสียใจมาจนเท่าทุกวันนี้
.....เพราะเจ้าคุณพ่อลาโลกไปแล้ว แต่ได้ฝากวิชาธรรมกายไว้ให้พวกเราได้ศึกษากันต่อไป
.....อย่างมากที่ข้าพเจ้าจะทำได้ก็คือเข้าไปกราบที่ประดิษฐานศพของท่าน ขอขมาที่ได้ล่วงเกินไม่เคารพ และตั้งใจปฏิบัติธรรมไปกว่าชีวิตจะหาไม่

***เหตุหลงทาง
.....อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าและผู้ใฝ่ธรรมอื่นๆหลงทาง?
.....ประการที่หนึ่ง ที่ทำให้ผู้ใฝ่ธรรมหลงทางคือ การสั่งสอนกันมาผิดๆ ของผู้ที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์และไม่มีใครยอมแก้ไข
.....ยกตัวอย่างพอจะเห็นได้ชัด เช่น
.....พระพุทธเจ้าสอนให้มีเมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข พระองค์ยังทรงบ้ำต่อไปอีกว่า
.....ศัตรูสำคัญของ เมตตา คือ ราคะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังมีผู้ที่ตั้งตนเป็นอาจารย์ทำเสน่ห์ยาแฝด
.....ทำให้ผู้อื่นเกิดราคะความรักใคร่ฐานชู้สาว ที่หลงเรียกกันว่า “เมตตามหานิยม” ผู้ที่หลงงมงายก็เลยพากันขึ้นต้นงิ้วไปตาม ๆ กัน
.....ประการที่สอง คือพระภิกษุอุตริ พวกนี้เป็นพระสักแต่ว่าเอาผ้าเหลืองมาห่ม ศีลสิกขามีอยู่สองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อก็ถือไม่ได้แม้แต่ศีลห้า
.....เพื่อลาภสักการะหรือชื่อเสียงจอมปลอมว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์แสดง อภินิหารว่าตัวของอาตมาแน่ ทำการปลุกเสกเลขยันต์ใบ้หวยต่างๆ นานา ทำให้คนหลงผิด
.....ประชาชนที่ด้อยปัญญาก็หลงสักการะว่า ตะกรุดคือธรรมะ ผ้ายันต์คือที่พึ่ง ตัวผู้สร้างคือผู้วิเศษ
.....ส่วนผู้มีปัญญาเมื่อพบเข้าก็หมดศรัทธาที่จะเข้าวัด ทั้งๆที่อยากจะเข้า
.....ประการที่สาม ทีทำให้ผู้ใฝ่ธรรมะหลงผิด และนับว่าเป็นสาเหตุร้ายแรงที่สุด
.....คือผู้ที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์มีประสบการณ์การฝึกสมาธิและวิปัสสนาน้อย เกินไป ยังไม่เข้าใจซึ้งถึงการฝึกสมาธิทั้ง 40 วิธีที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
.....จึงเกิดการใส่ร้ายป้ายสีระหว่างนักปฏิบัติด้วยกันเป็นที่น่าอับอายอย่างยิ่ง เป็นรอยมลทินอย่างใหญ่หลวงของพระพุทธศาสนา
.....ชอบพูดถากถางกันว่า สำนักนั้นเป็นสมถะ สำนักนี้เป็นวิปัสสนา แทนที่จะมาเข้าวัดเพื่อขุดกิเลสออกทิ้งกลับพอกพูดกิเลสให้มากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 8)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


***วิชาใส่ปรอท
.....ข้าพเจ้ายังศึกษาวิชามารต่อไปเรื่อยๆ จากสำนักหนึ่งไปยังอีกสำนักหนึ่ง จนกระทั่งวิชาสุดท้ายที่เรียนคือ วิชาไอ้ปรอท
.....ปรอท เป็นโลหะเหลวๆ กลิ้งไปไหลมาเหมือนน้ำกลอกกลิ้งอยู่บนใบบัว
.....เมื่อใช้สมาธิบวกเข้ากับคาถาและการส่งพลังจิตตามแบบของมาร ปรอทจะแตกตัวในรูปของปรมาณูและอณูแทรกหายเข้าไปในเนื้อ
.....เมื่อเข้าสู่ร่างกายของผู้ใดแล้ว จะเป็นผลได้สมใจนึกของผู้นั้นตามแต่แรงอธิษฐาน (แค่ก็มีขีดจำกัดและมักไม่ได้ผลในระยะหลัง)
.....วิชาปรอทเป็นวิชาสุดยอดของฝ่ายมาร ในชีวิตที่ข้าพเจ้าผจญมา มันเป็นมารตัวใหญ่จริงๆ เป็นมารที่ยิ่งด้วยมาร
.....ท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า มีศิษย์คนหนึ่งเมื่อเรียนวิชาปรอทไปแล้วและโดยสันดานเดิมของเขาก็ร้ายนัก เคยติดคุกติดตะรางมา
.....เมื่อเวลาเสกธนูมือก็จะเอาปรอทใส่ลงไปด้วย หากผู้ใดถูกชกต่อยทุกตีตรงไหน ก็จะเจ็บปวดรวดร้าวไปทุกขุมขนเหมือนโดนหัวขวานทุบ
.....เมื่อต้องการจะเข่นฆ่าผู้ใดขอเพียงให้ได้สัมผัสมือแล้วเพ่งจิตแรงๆ ปรอทในตัวจะพุ่งเข้าใส่บุคคลที่ต้องการทำร้าย โดยผู้ถูกทำร้ายไม่รู้ตัวเลย
.....ทันทีทันใดบุคคลผู้นั้นจะมีอาการคล้ายกับคนแพ้ปรอทคือชักตาตั้ง น้ำลายฟูมปาก โลหิตออกมาตามขุมขนและตายในไม่กี่นาที
.....มันเหี้ยมโหดทารุณน้อยอยู่หรือ?
.....วิชามารที่กล่าวมาทั้งหมดถึงจะเหี้ยมโหดและศักดิ์สิทธิ์เพียงใดก็ตาม แต่หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น คือทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตนเอง ใครทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว
.....ดังนั้นการทำเสน่ห์ล่อลวงให้ผิดประเวณีจะทำสำเร็จได้เฉพาะบุคคลที่มีกรรมกาเมในอดีตชาติมากๆ
.....การบิดไส้บังฟังก็จะทำให้เฉพาะผู้ที่เคยจองเวร เคยเข่นฆ่ากันมาในอดีตชาติเท่านั้น
.....ไม่สามารถทำเสน่ห์ล่อลวงหรือทำร้ายผู้ที่สร้างสมบุญมาดีหรือผู้มีศีลธรรมได้เลยเป็นอันขาด
.....เป็นเวลาถึง 11ปีเต็มที่ข้าพเจ้าหลวมตัวไปมั่วสุมอยู่กับกลุ่มมาร ในระยะ 11ปีที่หมั่นเคี่ยวทุกคืนวัน
.....แม้กระทั่งเมือไปศึกษาต่อยังต่างประเทศก็ไม่ยอมละทิ้งกลับไปคบกับพวกพ่อมดหมอผีในต่างประเทศอีก
.....ผลที่ได้ก็คือภาวะระดับจิตถึงแม้จะเด็ดเดียวเข้มแข็งก็จริง แต่มันแฝงได้ด้วยความเหี้ยมหาญและบ้าบิ่นผิดมนุษย์
.....ครั้งหนึ่งที่พึงฝึกฝนวิชามารก็เหมือนกับครั้งหนึ่งซึ่งได้เชือดเนื้อเถือหนังตนเอง
ฉะนั้น
.....โชคดีที่บุญเก่าในอดีตชาติยังพอมี ทำให้ผู้เลี้ยงผู้รักษาที่ลงคุ้มครองแต่วันที่ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ได้ติดตาม รักษาชีวิตข้าพเจ้าไว้และได้นำข้าพเจ้าไปเห็นแสงสว่างอีกครั้ง

ผจญมาร (ตอนที่ 7)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ



***เข้าทรงโกหก
.....เมื่อหายดีแล้ว ข้าพเจ้าก็ฝึกฝนต่อไป ถึงการเลี้ยงผี ไล่ผีจากท่านอาจารย์หลายท่านตลอดจนการเข้าทรงด้วย
.....คราวนี้โชคดีเป็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้พบความจริงว่า
.....การเข้าทรง 100% เป็นเรื่องของการโกหก
.....ทำไมจึงโกหก?
.....ประการแรก ในการเข้าทรง วิญญาณที่จะมาเข้าจริงๆเพียงประมาณไม่เกิน 40 %
.....ส่วนอีก 60% เป็นการเข้าหลอกๆ คือคนทรงแกล้วทำท่าวิญญาณมาเข้า แล้วแสดงเอง
.....หรือถ้าไม่แกล้งก็เกิดจากความเคยชิน จึงแสดงอาการประดุจผีเข้าคือเริ่มจะเป็นผีตั้งแต่ก่อนตายนั่นเอง
.....ประการที่สอง วิญญาณที่มาเข้าจริงๆนี่แหละแต่ละตัวต้องอ้างตนว่าเป็นเทพองค์นั้น พรหมองค์นี้ทุกราย
.....อ้างว่าตัวเป็นโพธิสัตว์มาเข้าบ้างก็มี เป็นหลวงพ่อทวดมาเข้าบ้างก็มี โกหกทั้งนั้น
.....วิญญาณของพวกเทพหรือ ผู้มีธรรม ท่านไม่ยอมลงมาหรอก กลิ่นสาบมนุษย์มันแรง ท่านเหม็นสาบมนุษย์จะแย่อยู่แล้ว)
.....ไอ้พวกที่มาเข้าล้วนเป็นพวกผีไม่มีญาติหรือตายโหงเสียโดยมาก หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นพวกวิญญาณของพวกที่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เป็นคนเลวแสนเลว
.....”บางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมนะพวกเข้าทรงจึงสามารถทายอะไรต่ออะไรได้ถูกต้องแม่นยำราวกับตาเห็น
.....ได้บอกแล้วว่าวิญญาณที่มาเข้าทรงเป็นพวกปีศาจต่ำๆมันเหล่านั้นจะต้องร่อนเร่พเนจร ใช้กรรมของมันไปจนกว่าจะสิ้นเวร
.....ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆ พันๆปี บางตัวอาจเป็นหมื่นปีก็มี เมื่อมันอายุยืนอย่างนี้ เหตุการณ์ในอดีตมันจึงสามารถบอกได้หมด
.....และมีพวกพ้องบอกข่าวส่งต่อๆกันไปตามแต่อำนาจฤทธิ์ตบะฝ่ายมารที่มันทำมา
.....มันจึงสามารถพูดทายได้แม่น ทำให้เราหลงกลัวเกรงนับถือเป็นการตัดไม้ข่มนาม
.....ในเวลาเดียวกันมันก็จะเริ่มขู่เท่านั้นเท่านี้ตามวิสัยผี วิสัยเปรตจนกระทั่งเราตกใจกลัว
.....คราวนี้มันจะเริ่มทายอนาคต แต่คนทรงไม่อาจบอกอนาคตที่แท้จริงได้ นอกจากเดาเอาผิดบ้างถูกบ้างไปตามเรื่อง
.....เพราะวิญญาณหรือปีศาจเหล่านั้นที่มาเข้าทรงจะรู้ได้แต่เพียงอดีตกับปัจจุบันเท่านั้น มันไม่รู้อนาคต
.....ถ้ามันรู้อนาคตมันคงไม่ต้องมาเป็นเปรต ดังนั้นเมื่อไร่มันทายอนาคต เมื่อนั้นมันก็กำลังโกหกทุกครั้งที่ท่านไปหาหมอผีคนทรงเข้าจะต้องทายอนาคต
.....นี่แหละทำไมข้าพเจ้าจึงว่า การเข้าทรงเป็นการโกหก 100 %
.....เรื่องทรงเจ้าเข้าผีขณะนี้ยิ่งน่าเศร้าใจ คนส่วนมากนิยมไปกราบไหว้บูชาคนทรง หรือบูชาภูตผีปีศาจ
.....ท่านทั้งหลายก็คงทราบดีอยู่แล้วว่า เรื่องของผีก็คือจะหลอกคน ฉะนั้นคบคนทรงก็เหมือนคบคบโกหกหลอกลวงโลกนั่นเอง
.....ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งหนึ่งสำหรับท่านที่นิยมทรงเจ้าเข้าผีว่า มันเป็นเรื่องของการโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น
.....ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่คบค้าสมาคมกับคนทรงหรือหมอผี ไม่ช้าจะวิบัติ อย่าว่าแต่ผู้มีสมาธิจิตธรรมะดาเลย
..... แม้แต่พระภิกษุและผู้ที่มีสมาธิสูงๆ ถ้าไปยุ่งกับเรื่องผีๆ สางๆ ไม่ช้าก็ต้องวิบัติ
.....จะยกตัวอย่างให้ท่านฟังอีกเรื่องหนึ่ง
.....มีพระภิกษุรูปหนึ่งทรงความรู้ความสามารถในด้านการฝีกสมาธิ จนได้รับฉายาว่าพระฤาษีแห่งสำนักเขาสวนกวางจังหวัดขอนแก่น
.....มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านปริยัติและด้านปฏิบัติอย่างยิ่ง จนเป็นที่ยกย่องในหมู่ของนักฝึกสมาธิด้วยกัน มีลูกศิษย์ลูกหามามาย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นศิษย์ผู้พี่ของท่านพ่อลีวัดอโศการามผู้ล่วงลับไปแล้ว
.....ความสามารถและกิตติศัพท์ของพระฤๅษี ผู้นี้ระบือไปไกลจนมีข่าวลือว่า ท่านคือพระศรีอารย์มาเกิด
.....ต่อจากนั้นไม่นานนักก็ได้ข่าวมาอีกว่า ท่านทรงเจ้าเข้าผี
.....พอทราบว่าข่าวนี้ข้าพเจ้าก็นึกสงสารอยู่ลำพังว่าเอาอีกแล้ว มามันหลอกได้อีกคนหนึ่งแล้ว และยังเป็นพระผู้ใหญ่ได้บำเพ็ญเพียรมาแรมปีอีกด้วย
.....อีกไม่ช้าคงจะถึงกาลวิบัติ ข้าพเจ้าคิดคนเดียว ไม่เคยปรารภกับใคร
.....จริงดังคาด ไม่กี่เดือนต่อมาได้ข่าวว่าท่านสึกเสียแล้ว อยู่ไม่ได้ เพราะลำพังกิเลสตัณหาที่เผาผลาญเราทุกวันนี้ ก็ยากจะอดกลั้นทนทานได้
.....ยิ่งหลงกลมารเหล่านี้ซ้ำเข้าไปอีกก็เหมือนกับเอาน้ำมันราดบนกองไฟ ฉะนั้นทราบเถิดว่า มารไม่เคยปรารถนาดีต่อใคร
.....ใบหน้าของข้าพเจ้ายิ่งหมองคล้ำ ราศีดำ ยิ่งรับมากขึ้นๆ จิตใจยิ่งเย็นชากระด้างขึ้นทีละน้อยๆไม่รู้ตัว
.....ยังไม่หมดเท่านั้น ข้าพเจ้าเริ่มแปลกใจยิ่งขึ้น เพราะไม่ว่าจะไปทางไหน ดูมันช่างเป็นที่สนิทเสน่หาของเหล่าอันธพาลทั้งหลาย ทั้งๆที่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยไปคบค้าอะไรกับพวกมันเลย
.....เพิ่งจะมาทราบต่อภายหลังว่า คนเราทุกคนมีอายตนะดึงดูดกันอยู่ภายใน คล้ายกับเครื่องรับส่งวิทยุหรือโทรทัศน์ ความถี่ของคลื่นส่งมีเท่าไร คลื่นรับจะต้องมีเท่านั้น
.....ในเมื่อข้าพเจ้ามีอายตนะดึงดูดเป็นของมาร มีคลื่นมารแล่นอยู่ทั่วตัวทุกอากัปกิริยาต่อท่า “ข้านี้แหละตัวมาร”
.....ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่พวกมารหรือพวกอันธพาล ซึ่งมีราศีดำด้วยกันจะชอบชิดข้าพเจ้า
.....ยิ่งปรารภความเพียรแรงกล้าขึ้นมากเท่าใดไฟนรกก็โหมสุมใส่ประดังมาบนร่างกายและจิตใจของข้าพเจ้ามากขึ้นเท่านั้น
.....ยามกินยามนอนยากยิ่งจะหาความสุข มันทำให้เร่าร้อนทุรนทุรายเป็นทวีคูณซึ่งเรียกกันว่า ร้อนวิชา

การก่อผนังอิฐบล็อก

ที่มา :  https://itdang2009.com/อิฐบล็อก-และเทคนิคการก่/ อิฐบล็อก และเทคนิคการก่ออิฐบล็อก ...