วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 3)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


*** เหตุหลงมาร

.....ถ้าใช้ตาธรรมกายดูรอบๆ ตัว ขณะทำพิธีเสกปูน พลู อยู่นั้นก็คงพบว่าวิญญาณของครูบาอาจารย์ที่มาช่วยกันส่งฤทธิ์ประสิทธิ์ประสาทความศักดิ์สิทธิ์ให้หนังเหนียวนั้นต่างไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่พรหม ไม่ใช่พระ แต่ล้วนเป็นเหล่ามารใจบาปทั้งสิ้น.....ร่างกายของมันใหญ่โต กำยำปานภูเขา ผิวดำเป็นนิล ผมเผ้ายาวรุงรังเป็นกระเซิง หน้าตาดุร้าย จิตใจเหี้ยมโหดอำมหิต
.....รูปวาดพวกเปรต พวกสัตว์นรกพวกยักษ์ตามฝาผนังโบสถ์ สมัยโบราณว่าน่าเกลียดน่ากลัว จนไม่อยากชำเลืองอยู่แล้วนั้น พวกมันกลับยิ่งซ้ำร้ายกว่าอีกหลายหมื่นหลายแสนเท่า
.....ที่มันมาส่งฤทธิ์ให้นี้ก็เพื่อต้องการล่อลวงให้ข้าพเจ้าใจฮึกเหิม ตกเป็นเครื่องมือในการสร้างบาปของพวกมันเท่านั้นเอง หาได้ปรารถนาดีแต่ประการใดไม่
.....น่าเสียดาย ขณะนั้นข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินแม้คำว่า ธรรมกาย จึงถูกมารหลอกใช้เชื่อจนหมดใจว่ามันนั่นแหละเป็นพระ
.....ท่านผู้อ่านเองก็เถิด ถ้าตกไปอยู่ในสภาพเดียวกันกับข้าพเจ้า คือสามารถเสกปูนเสกใบไม้ทำให้หนังเหนียวได้
.....ก่อนทำการเสกก็ตั้งใจอาราธนาคุณพระรัตนตรัยตลอดจนคุณบิดามารดา อีกคุณครูบาอาจารย์ ให้มาช่วยบันดาลให้การเสกนี้สัมฤทธิ์ผลทันตาเห็น
.....ท่านก็ย่อมเชื่อจนหมดใจลงไปเช่นกันว่าผู้ที่ส่งฤทธิ์ให้นี้ต้องเป็นพระ อย่างแน่นอน ใครจะมาทักท้วงอย่างใดย่อมไม่ยอมรับฟังทั้งสิ้น
.....แต่หามิได้ท่านผู้อ่านที่รัก
.....เมื่อพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว บางครั้งมารก็แสร้างแสดงอาการหวังดี ประดุจว่ามันนี่แหละเป็นพระมีความเมตตารักใคร่ในศิษย์คอยติดตามเป็นห่วงเป็นใย
.....หรือบางทีจิตของเราหยาบไป ไร้ความสุขุม รอบคอบ ก็อาจทำให้หลงเป็นความสงบสำรวยของพระกลายเป็นมารขัดขวางความเจริญไปก็มี
.....ยิ่งกว่านั้นบางทีถึงกับหลงตำหนิวิชาทางฝ่ายพระ ที่มุ่งสอนให้สละกาม สละโกรธ มุ่งสันโดษ มุ่งสันติ ว่าเป็นการชักจูงให้คนวิกลจริตไร้เสียซึ่งความรับผิดชอบอันดีต่อสังคม
.....แต่วิชาฝ่ายมารที่ยั่วยุให้บังเกิดความฮึกเหิมบ้าง กามราคะกำเริบบ้าง จองเวรล้างผลาญกันบ้างกลับดูน่ารัก น่าพิสมัย มีเหตุมีผล มีคุณค่าควรแก่การนับถือ สมควรปฏิบัติตามเพราะถูกกับกิเลสในตัว
.....จึงหลงเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นวิชาของพระไป
.....ซ้ำร้ายในรายของข้าพเจ้าท่านอาจารย์กลับย้ำตอกหมุดแห่งความหลงผิด ให้จมลึกเข้าไปจนสุดก้นบึ้งหัวใจอีกด้วย:-
.....”อันวิชาคงกระพันชาตรีนี้มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับชนชาติไทยมาแต่โบราณกาล ดูแต่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเถิด
.....ครั้งกระนั้นมีบุรุษหนึ่งเลิศชายชื่อ พลายแก้ว ต่อเมื่อเลื่อนยศและเป็น ขุนแผน
.....ได้พากเพียรเรียนร่ำวิชาคงกระพันชาตรีนี้จนสำเร็จ เนื้อหนังจึงคงทนศาสตราอาวุธได้ทุกชนิดเป็นที่คร้ามเกรงแก่หมู่ปัจจามิตรที่คิดร้ายต่อกรุงศรีอยุธยา
.....ต่อมาวิชานี้ตกทอดจนถึงสมเด็จพระนเรศมหาราชพระองค์ได้อาศัยวิชานี้ ทำให้สามารถกู้ชาติกลับมาได้ หาไม่แล้วคงจะถูกพม่าฆ่าตายเมื่อคราวนำทหารกล้า ปีนขึ้นปล้นค่ายพม่าที่บางปะหัน
.....ฉะนั้นเจ้าจงสืบทอดและรักษาวิชานี้ต่อไปให้ดี เมื่อถึงคราวจำเป็นจะได้ใช้ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
.....แต่มันเป็นวิชามารนะท่านอาจารย์ เรียนแล้วได้ไม่คุ้มเสีย
.....ที่กล้าพูดเต็มปากว่าเป็นวิชามารก็เพราะ
.....ประการที่หนึ่ง เมื่อเรียนวิชานี้แล้ว มักพาใจให้ฮึกเหิมนึกว่าตนเองเก่งกล้าเหนือคนทั้งหลาย ตกอยู่ในข่ายประมาท
.....ถ้าสันดานเดิมเป็นคนต่ำทรามอยู่แล้วก็ยิ่งพาให้ลำพองไม่เกรงอาวุธ ไม่กลัวตาย ประพฤติตนเกะกะเป็นนักเลงหัวไม้หรือกลายเป็นโจรไป
.....ถ้าแต่เดิมเป็นคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่เกะกะ เมื่อเรียนวิชาคงกระพันนี้แล้ว ก็จะผิดปกติไปจนได้ ถึงแม้จะไม่ระรานผู้ใดก่อน
.....แต่เมื่อมีเหตุร้ายที่พอจะหลีกเลี่ยงได้เกิดขึ้น ก็ชักจะไม่ยอมหลีกเพราะถือว่าตนก็ศิษย์มีอาจารย์ ได้รับคาถาดีไว้คุ้มหัวแล้ว เป็นอย่างไรก็เป็นกัน
.....เรื่องร้ายที่สมควรจะระงับได้ด้วยการให้อภัยกันก็กลายเป็นเรื่องต้องลงไม้ลงมือด้วยความอวดอื้อถือดีจนได้
.....ครั้นวิวาทกันแล้วไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ ย่อมเป็นการก่อเวรกันไม่รู้จบด้วยกันทั้งสิ้น
.....ฉะนั้นทางที่ดีแล้วอย่าไปเรียนเลย
.....ถ้าเกรงจะถูกคนพาลรังแกข่มเหง ก็ให้ หมั่นสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ทุกคืน เช้าออกจากบ้านไปทำงานก็สมาทานศีล 5 เสียก่อน
.....รับรองว่าไม่มีใครมารบกวนหาเรื่องรังแกกับท่านแน่ๆ เพราะธรรมย่อมรักษาและคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
.....หรือถ้ายังมีคนตามมารังแกท่านอีก ก็แสดงว่ากรรมชั่วในอดีตชาติกำลังตามมาให้ผล จงสู้ทนแข็งใจรับไว้
.....อย่าก่อกรรมใหม่ ไม่ช้าพอหมดแรรมเก่าเรื่องร้ายก็กลายเป็นดีได้เอง
.....การไปเรียนวิชาทำให้หนังเหนียว แล้วไม่ตั้งใจถือศีลและทำความดีนั้นไม่ใช่การป้องกันที่เหตุแต่เป็นการแก้ที่ผล
.....ซึ่งผิดหลักของพระพุทธศาสนา แม้จะประกาศตนว่าเป็นชาวพุทธแต่ก็หลุดไปจากศาสนาโดยปริยายแล้ว
.....ประการที่สอง ในการใช้อำนาจจิตทำให้หนังเหนียวด้วยวิธีของมารนี้
.....สำหรับผู้ฝึกใหม่จำเป็นต้องกลั้นลมหายใจไว้เป็นช่วงๆ หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องปลุกพระตามวิธีไสยศาสตร์เข้าช่วยจึงจะได้ผล
.....ทำให้ติดนิสัยกลั้นลมหายใจในขณะทำสมาธิโดยไม่รู้ตัว เป็นผลเสียในการฝึกสมาธิเบื้องสูงต่อไป
.....ฉะนั้นส่วนมากแล้วผู้ที่ฝึกวิชามารมาก่อนจึงไม่สามารถฝึกสมาธิขั้นสูงได้ หมดโอกาสสำเร็จมรรคผล
.....ได้เพียงโลกียฤทธิ์เล็กๆน้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มทำนองเดียวกับเทวทัตในสมัยพุทธกาล
.....สำหรับการปลุกพระตามวิธีไสยศาสตร์นั้นเป็นเรื่องของความงมงาย คือ
.....เอาพระเครื่องใส่มือแล้วกลั้นลมหายใจเข้าออก ว่าคาถาในใจ ครั้นจะหมดอากาศก็เกิดอาการสั่นเทา ชักดิ้นชักงอเหมือนปลาถูกทุบ หรือสัตว์ใกล้ตาย
.....ยิ่งดิ้นทุรนทุรายมากเท่าไรก็มักจะทึกทักเอาว่า พระเครื่องในมือนั้นศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเท่านั้น
.....แท้จริงแล้วควรจะเรียกวิธีการเช่นนี้ว่า ปลุกเปรต หรือปลุกสัตว์นรก ต่างหาก
.....คำว่า ปลุกพระ ถ้าจะพูดให้เต็มต้องพูดว่า ปลุกตัวเองให้เป็นพระ
.....และคำว่า พระ แปลว่า ประเสริฐ ดังนั้น ปลุกพระก็คือปลุกตัวเองให้เป็นคนประเสริฐ
.....คนที่จะนับว่าประเสริฐได้อย่างน้อยก็ต้องมีศีล
.....ฉะนั้นการปลูกพระที่ถูกวิธีที่สุดคือ เมื่อมีพระเครื่องอยู่กับตัวแล้ว แทนที่จะกลั้นลมหายใจท่องคาถาตามวิธีดังกล่าว
.....ก็เปลี่ยนเป็นตั้งใจสมาทานศีล 5 หรือ ศีล8 กับพระเครื่องนั้น ตามแต่กำลังศรัทธา
.....ยิ่งรักษาศีลได้มากข้อ เราก็ยิ่งประเสริฐมากขึ้น
.....โปรดระลึกเสมอว่า อาการใดก็ตามถ้าขาดความสำรวมระงับเช่นชักดิ้น ชักงอ กระโดโลดเต้น เอะอะตึงตัง ฯลฯ
.....อาการนั้นย่อมไม่ใช่อาการของศิษย์ตถาคต แต่เป็นอาการของศิษย์มารต่างหาก
.....ใครที่ชอบปลุกพระหรือปลุกตัวตามวิธีไสยศาสตร์ จงเลิกเสียทั้งพระภิกษุทั้งฆราวาสนั่นแหละ อย่าไปเห็นแก่อามิสสินจ้าง หรือชื่อเสียงจอมปลอมอยู่เลย
.....หันหน้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังให้ถูกต้องร่องรอยของศาสนาดีกว่า
.....มิฉะนั้นจะบ้าหรือประสาทเสียหรือไม่ก็เส้นโลหิตแตกตายไปโดยใช่เหตุ ครั้นตายแล้วยังจะต้องไปชักดิ้นชักงอต่อในนรกอีกเป็นพันปีหมื่นปี
.....ประการที่สอง การเรียนวิชาคงกระพันชาตรี ทำให้เกิดการเคารพบูชาในสิ่งที่ผิด ผู้ที่ควรแก่การกราบไหว้บูชาที่นั้นคือผู้ที่ปลูกฝังความเห็นถูกให้แก่เรา ไม่ว่าผู้นั้นจะอายุมากหรือน้อยกว่าเราก็ตาม
.....เช่นสอนเราให้ทำทาน ถือศีล ไม่เกะกะระราน ไม่จองเวรกัน ฯลฯ ชาวพุทธต้องจำใส่ใจเสมอว่า สิ่งที่ควรแก่การบูชานั้นไม่ใช่ผี ไม่ใช่เปรต ไม่ใช่ยักษ์ ไม่ใช่มาร ไม่ใช่เจ้าพ่อเจ้าแม่ ฯลฯ
.....ถ้าใครบูชาพวกนี้แล้วก็จะพลอยมีความเห็นผิดตามพวกมันไปด้วย คือคิดถึงความดีก็ไม่ค่อยออก แต่คิดวิธีจองล้างจองผลาญผู้อื่นได้อย่างฉับพลันทันใจทีเดียว
.....ครั้นเราหลงไปเรียนวิชาของมันเข้า ก็เท่ากับเราบูชามันกลายเป็นเสนา มารตัวแสบให้แก่มันทันที
.....ท่านผู้อ่านที่รัก เราเป็นคนผู้ประเสริฐอยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปเคารพผี เคารพเปรต เคารพมาร ให้กลายเป็นพาลตามพวกมันไปด้วยเล่า
.....เมื่อ พ.ศ.2501 ข้าพเจ้าเรียน วิชาใส่ปรอท จากท่านอาจารย์ทรัพย์ เมื่อใส่ปรอทเข้าไปในตัวคนไข้แล้ว ก็สามารถรักษาโรคชนิดต่างๆให้หายได้ ถ้าใส่ตนเองก็ทำให้คงกระพันหนังเหนียวได้
.....แต่ครูผู้ล่วงลับเจ้าของวิชานี้ดุร้ายมาก ถ้าศิษย์ทำผิดคำสั่งแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจถูกทำโทษถึงตาย
.....อยู่มาวันหนึ่งอาจารย์ทรัพย์เองใส่ปรอทรักษาโรคมะเร็งให้คนไข้ แต่ท่านอายุมากแล้วเผลอลืมยกครูก่อน พอใส่ปรอทคนไข้เสร็จประมาณ 30 นาทีเท่านั้น
.....ทั้งๆที่ท่านนั่งคุยอยู่ดีๆท่านหงายหลังล้มตึงสิ้นสติขาดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเป็นสัญญาณบอกให้รู้ล่วงหน้า
.....กระอักโลหิตออกมาประมาณครึ่งชามโคม ลูกศิษย์แต่ละคนต่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งประคองท่านอาจารย์มือไม้ สั่นเป็นเจ้าข้า คว้ายาหม่องมาให้ดมละลายยาลมมาให้กินไปตามประสา
.....รุ่นพี่คนหนึ่งของข้าพเจ้าอายุมากแล้ว มีสติดีกว่าศิษย์คนอื่นๆ และในกระบวนลูกศิษย์ด้วยกันแล้ว ท่านมีสมาธิเป็นเยี่ยม
.....ท่านนั่งเข้าที่ทำสมาธิอยู่คณู่หนึ่ง จึงนิมิตเห็นอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ตัวดำเป็นนิล หน้าตาเหี้ยมเกรียมตวาดเตือนมาว่า ทำไมจึงไม่ยกครูก่อน สั่งสอนกันเบาะๆ ด้วยการเหยียบอกลูกศิษย์จนกระอักโลหิตตั้งครึ่งค่อนชาม
.....ท่านผู้อ่านช่วยตัดสินทีซิว่า อาจารย์ที่ว่านั้นเป็นพระหรือมารกันแน่?
.....ประการที่สี่ เมื่อใดที่ผู้ศึกษาวิชาคงกระพันชาตรีได้คิดกลับใจมาเรียนธรรมะ อันเป็นวิชาฝ่ายพระโดยตรง เช่นฝึกวิชาธรรมกายเป็นต้น
.....เมื่อนั้นมันจะตั้งตัวเป็นศัตรูตามจองล้างจองผลาญทันที
.....จะทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้มันไปเท่าไรมันก็รับส่วนบุญเอาไว้หมด แต่มันไม่ยอมลงลาวาศอกเลิกขัดขวาง
.....โดยเฉพาะเวลาทำสมาธิตามหลักวิชาธรรมกายแล้ว ถ้าเราเผลอปล่อยให้จิตเคลื่อนไปจากที่ตั้งแม้เพียงแค่ปลายเข็ม มันเป็นต้องบุกเข้ารังควาน
.....บางครั้งมันแกล้งทำให้เกิดความรู้สึกคล้ายมีคนเอามีดขวาน เข็ม หรือของมีคมต่างๆมาทิ่มแทงเชือดเฉือนตามเนื้อตามตัวบ้าง ตามปลายนิ้วมือบ้าง ตามปลายลิ้นบ้าง ตามบริเวณเนื้ออ่อนๆ ทั่วทั้งตัวบ้าง ฯลฯ อยู่เสมอ
.....กว่าอาการเหล่านี้จะหายสนิท ก็ต้องใช้เวลาแรมปี
.....ประการที่ห้า วิชาคงกระพันชาตรีนี้ถึงจะฝึกฝนอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้หนังเหนียวตลอดไปได้ เพราะมันฝืนหลักธรรมชาติ
.....เป็นต้นว่าทั้งๆ ที่ทดลองยิงหรือฟันกันอยู่หยกๆ ว่าหนังเหนียวได้ที่แล้วนีแหละ
.....แต่เมื่อไปอยู่ต่อหน้าผู้เข้าถึงธรรมกายแล้ว วิชานี้ก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์หนังก็เลิกเหนียว
.....เพราะอาจารย์มารเหล่านั้นเกรงบารมีพระธรรมกายไม่อาจเข้าใกล้ได้ จำต้องหยุดส่งฤทธิ์ให้ศิษย์ของมันชั่วขณะหนึ่ง ขณะนั้นถูกเพียงปลายมีดพับสะกิดเบาๆรับรองว่าต้องหลั่งเลือดจนได้
.....หรือไม่เช่นนั้นหลังจากที่มารมันยั่วยุให้เราฮึกเหิมก่อเวรก่อกรรมมากเข้าๆ จนกระทั่งบาปหนักเต็มที่เราจะทำความดีมาลบล้างเท่าไรก็ไม่หมดแล้ว พวกมันก็ไม่ได้รับประโยชน์จากเราต่อไปอีก
.....มันก็จะไสหัวทิ้งไม่ส่งฤทธิ์ให้อีก หนังเราก็เลิกเหนียว ปล่อยให้เราทนรับผลกรรมชั่วตามลำพัง
.....เหมือนพ่อค้าฝิ่นที่ใจดำอำมหิต ครั้งเห็นว่านักเลงที่มันเลี้ยงไว้ฝีมือตก ทำประโยชน์ให้มันไม่คุ้มค่า มันก็ปล่อยให้ถูกตำรวจเก็บเสีย ไม่ยอมช่วยเหลือวิ่งเต้นแต่อย่างใด
.....นี่คือคำตอบว่าทำไมไอ้โจรหนังเหนียวทั้งหลายจึงถูกตำรวจฆ่าตายไปแล้วนับไม่ถ้วน
.....ประการที่หก ผู้เรียนวิชาคงกระพันชาตรีแล้วนับวันจะยิ่งมีความเห็นผิดเป็นชอบมากขึ้น
.....โดยมากแล้วมักจะอวดดื้อถือดีว่าการทำให้หนังเหนียวได้นั้น เป็นสุดยอดของวิชาธรรมภาคปฏิบัติแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่เคยลงมือปฏิบัติธรรม
.....พวกนี้ถึงหัวเด็ดเท้าขาดก็จะสนใจอยู่แต่เรื่องหนังเหนียว ไม่ยอดเปลี่ยนมาฝึกวิชามรรคผลนิพพาน ยกเว้นจะมีผู้ที่รู้เรืองวิชาจริงๆ มาทรมารให้สำนึก
.....เหมือนกับผู้ที่ส้องเสพอยู่กับอันธพาล ย่อมพึงพอใจในความหยาบกระด้างกักขฬะของคนพาล หลงผิดเป็นอย่างมาก ว่าการรังแกผู้อื่นได้เป็นการกระทำของคนเก่ง
.....ส่วนความเมตตาปรานีต่อเพื่อนมนุษย์ตาดำๆด้วยกัน หรือความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นการแสดงความอ่อนแอ และไม่เคยคิดที่จะแผ่เมตตาดูบ้างเลย
.....สาเหตุที่ทั้งหกประการที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นข้อยืนยันได้อย่างดีว่าทำไมวิชาคงกระพันจึงเป็นวิชามาร เป็นวิชาของโจร ไม่ควรเรียน
.....ได้โปรดเถอะอย่าแย้งเลยว่า บางครั้งเราก็จำเป็นต้องคบโจรไว้ล้างโจรเหมือนกัน เพราะไม่เคยมีใครเลยที่คบโจรแล้วจะไม่คิดเอานิสัยเลวๆของโจรมา
.....เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครเลย เมื่อจับอุจจาระแล้วจะไม่เหม็นติดมือมาด้วย
.....พวกที่เรียนวิชามารยามละจากโลกมนุษย์แล้ว มีนรกเท่านั้นเป็นที่ไป ไม่ว่ามันเหล่านั้น เดิมจะเป็นพระภิกษุ สามเณร หรือฆราวาสก็ตาม
.....ยิ่งเป็นพระภิกษุยิ่งต้องตกนรกลึกกว่าคนธรรมดา เพราะรู้แล้วก็ยังฝืนกระทำผิด

ไม่มีความคิดเห็น:

การก่อผนังอิฐบล็อก

ที่มา :  https://itdang2009.com/อิฐบล็อก-และเทคนิคการก่/ อิฐบล็อก และเทคนิคการก่ออิฐบล็อก ...