วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 6)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ



***สะเดาะโซ่ตรวน
.....หลังจากฝึกวิชาสะกดจิตจนชำนาญแล้ว มารร้ายก็ส่งเสริมชุกจูงข้าพเจ้าให้ไปพบกันไอ้เสือเก่าผู้หนึ่งซึ่งถอดเขี้ยวถอดเล็บและชราภาพแล้ว
.....ไม่ทราบว่าท่านติดอกติดใจข้าพเจ้าอย่างไร จึงสอนวิชาสะเดาะโซ่ตรวนให้
.....ข้าพเจ้าสะเดาะมันได้จริงๆ
.....จะว่ากุศลผลบุญในอดีตชาติที่สะสมมาดีแล้ว หรือมโนธรรมประจำใจอันดีที่พ่อแม่อบรมมาแต่เล็กแต่น้อยก็ตาม
.....ตลอดเวลาข้าพเจ้าไม่เคยใช้วิชาสะกดจิตไปทำร้ายผู้ใด ไม่เคยใช้ไปในการกระทำชู้สาว
.....และจนกระทั่งเรียนสะเดาะโซ่ตรวนมาก็ไม่เคยไปตัดช่องย่องเบา หรือโจรกรรมผู้ใดแต่ใจมันก็อยากจะลองวิชาอยู่เสมอ เพราะเชื้อมารมันเข้าไปฟักอยู่ในใจแล้วนั่นเอง
.....ท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังถึงศิษย์รุ่นพี่ของข้าพเจ้าว่า หลังจากเรียนวิชาสะกดจิตซึ่งเรียนควบคู่กับการทำเสน่ห์
.....แล้วไม่ช้าไม่นานเขาก็เที่ยวก่อกรรมทำเข็ญ ต้องสะกดจิตเอามาบำเรอกามให้จนได้ ไม่เป็นอันทำมาหากิน
.....ครั้นเมื่อหมดเงินหมดทองไม่มีใช้สอย ก็ใช้วิชาสะเดาะกลอนเที่ยวงัดแงะโจรกรรมและไปตายในคุกเป็นที่สุด
.....วิชาดังกล่าวข้างต้นนั้นหลังจากข้าพเจ้าทั้งเคี่ยวทั้งลับทั้งฝนอยู่4-5 ปี ก็กล้ากล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า
.....ต่อให้ขุนแผนตัวจริงกลับชาติมาเกิด ก็ไม่แน่ว่าจะทำอะไรข้าพเจ้าได้ง่ายๆ
.....เมื่อเรียนวิชามารมากขึ้นนิสัยของข้าพเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยๆ ตัวเองก็ไม่รู้สึก จากเด็กหัวโจกในหมู่บ้านกลายเป็นหัวโจกของอำเภอและจังหวัดไปตามลำดับ

***ธนูมือ
.....ยิ่งวิชาหลังๆที่ข้าพเจ้าเสาะเรียนมายิ่งทำให้ข้าพเจ้าห่างจากพระศาสนามากขึ้นทุกทีๆ
.....ข้าพเจ้าเรียนวิชาธนูมืออีกวิชานี้ใครๆ ก็รู้จักได้ยินกันแต่โบราณ แต่ผู้ที่จะทำได้จริงๆ จะต้องฝึกสมาธิตามแบบของมารได้พอสมควร ไม่ใช่แต่ว่าเอาน้ำหมึกมาสักเลขยันต์ลงบนฝ่ามือเท่านั้น
.....วิชานี้เรียนเพื่อไว้ฆ่ากันชัดๆ เพราะถ้าค่อยด้วยวิชาธนูมือแล้ว หากโดนใครเข้า ผู้นั้นถ้าไม่เป็นอันต้องกระดูกหักตายไปคาหมัด ก็ต้องทรมานต่อมาด้วยคาถาอาคมที่ประจุอยู่ ถ้าจะให้วิชานี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นก็ต้องใช้ว่านและน้ำมันพรายประกอบด้วย
.....ดูเอาเถิดท่านผู้อ่าน ข้าพเจ้าถลำตัวเข้าไปจนจะกลายเป็นฆาตกรอยู่แล้ว
.....ข้าพเจ้าไม่ยอมหยุดเพียงเท่านั้น เสาะเรียนมันต่อไป ทั้งบิดไว้ บังฟัน ยาสั่ง และอื่นอีกร้อยแปดจิปาถะ
.....ตลอดไปจนกระทั่งฟันดาบกระบี่กระบอง (เคยชนะฟันดาบสองมือประเภทมหาวิทยาลัย และได้ถ้วยมากนักเรียนจากต่างประเทศ)
.....มาทราบภายหลังเมื่อฝึกธรรมะจริงๆ แล้ว จึงได้รู้ว่าอดีตชาติเคยเป็นโจรมาก็มาก เป็นทหารมาก็มาก แต่ละชาติก็มีใจฝักใฝ่ต่อเรื่องเหล่านี้
.....แต่ก็โชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือแต่ละชาติที่ผ่านมา ยามท้ายชีวิตก็หันหน้าเข้าบวชเรียนเอาแต่ธรรมะโดยตรง
.....ฉะนั้นบุญที่สะสมมาจึงพาให้เกิดสนใจใฝ่ทางธรรม แต่กรรมที่สร้างไว้จึงดลใจให้มารลวงเอา

***ราศีดำ
.....วิชาร้ายๆ เหล่านี้แม้จะยังไม่ได้ใช้ออกไปทำลายใคร
.....แต่มีเอาไว้ก็เป็นเสนียดแก่ตัวเอง หมดสง่าราศี จิตใจใฝ่ดีก็ยาก และสิ่งหนึ่งซึ่งปรากฏเป็นลางร้ายบอกความเป็นมารในตัวของข้าพเจ้าคือ ราศีดำ
.....ราศีดำเริ่มจับบนใบหน้าข้าพเจ้ามากขึ้นทุกทีแต่ไม่รู้สึกตัวจนกระทั่ง คุณพ่อคุณแม่และญาติสนิท ออกปากทักว่าหน้าหมองไป จิตใจก็ออกจาะเหี้ยมเกรียมดุดัน
.....พอดีเข้ามหาวิทยาลัยได้และบาปชักนำอีกเหมือนกัน คือให้ไปทำงานด้านการเลี้ยงสัตว์และคุมการฆ่าสัตว์ตั้งแต่ฆ่าวัว ฆ่าควาย ฆ่าหมู และเป็ดไก่ส่งให้ อ.ส.ร. จนนับไม่ถ้วน
.....และจากเวรทีทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ถึงสองปีนี่เอง
.....มีวันหนึ่งข้าพเจ้าล้มป่วยลงซึ่งก็ไม่หนักหนาอะไรนัก แต่นอนไม่หลับ
.....พอหลับตาทีไรก็เห็นเลือดเป็ดเลือดไก่เลือดหมู่เลือดวัวควายไหลเป็นทาง จากคอของมัน บางตัวยิ่งซ้ำร้ายขึ้นมานอนดิ้นอยู่บนตักข้าพเจ้า
.....อาการป่วยที่มีบ้างเล็กน้อยกลับทรุดหนักลงไม่สามารถจะเยี่ยวยาได้ด้วย วิชาการของแพทย์สมัยปัจจุบัน นายแพทย์ให้กินยานอนหลับก็ไม่หลับ หรือถ้าหลับก็ต้องเพิ่มจำนวนยาให้มากขึ้น แต่พอหลับแล้วก็ฝันร้าย
.....ในที่สุดข้าพเจ้าต้องไปให้พระสงฆ์ท่านหนึ่งรักษา วิธีรักษาก็ง่ายมาก ไม่ต้องใช้หยูกยาอะไร
.....ท่านให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้สัตว์เหล่านั้นที่ข้าพเจ้าฆ่าเอง และเป็นผู้สั่งให้เขาฆ่า ถือศีลสิบอยู่เจ็ดวัน และนั่งฝึกสมาธิทั้งวันทั้งคืน จนกระทั้งไม่ช้าก็หายเป็นปกติดี
.....หลังจากนั้นจึงวางมือทางด้านการเลี้ยงสัตว์ และฆ่าสัตว์โดยเด็ดขาด

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 5)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


*** สะกดจิต
.....ความถือดีในวิชามารก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไป ไม่เพียงเท่านี้ข้าพเจ้ายิ่งถลำตัวต่อไปอีก
.....คราวนี้เรียนวิชาสะกดจิตซึ่งเป็นวิชาที่โจรร้ายทั้งหลายอยากจะได้นัก ทั้งๆรู้ว่าเป็นวิชาที่โจรแต่ก็อยากเรียน
.....เพราะคิดจะเอาไปใช้สะกดจิตในการบรรยายธรรม เป็นการจูงใจคนให้เข้าสู่ธรรมะได้ง่ายขึ้น.....โธ่เอ๋ย! ในเมื่อเราเองก็กลายเป็นเสนามารไปแล้ว จะเอาธรรมะที่ไหนไปเทศนาให้เขาฟัง
.....ขืนพูดไปก็คงจะมี่แต่เดียรัจฉานวิชาเท่านั้นเอง ทั้งคนเทศน์คนฟังคงได้ตกนรกกันเป็นพรวน
.....ท่านที่จะฝึกหัดสะกดจิตก็ตาม กำลังฝึกอยู่ก็ตาม หรือสะกดจิตได้แล้วก็ตาม
.....ข้าพเจ้าขอกราบเท้าวิงงอนให้เลิกเสีย เพราะท่านผิดแล้วยังไม่พอ จะพลอยให้ผู้อื่นหลงผิดตามท่านไปอีกด้วย
.....วิชานี้เป็นของมารโดยแท้ ไม่ว่าการสะกดจิตนั้นจะเป็นไปเพื่อใช้ในการแพทย์ ในการค้นคว้าเรื่องวิญญาณ
.....หรือแม้กระทั่งใช้สะกดตัวเอก็ตาม ข้าพเจ้าเองเคยทำได้มาแล้ว สามารถสะกดให้คนหลับได้ภายในไม่เกินสิบนาที
.....แต่เมื่อพิจารณาเห็นโทษทั้งในโลกนี้และโลกหน้าจึงจำต้องตัดใจเลิกเสีย หันมาปฏิบัติธรรมอันเป็นเนื้อแท้ของศาสนา
.....ทำไมข้าพเจ้าจึงขอร้องให้เลิกสะกดจิต?
.....ประการที่หนึ่ง ผู้ที่จะทำการสะกดจิต จะต้องตั้งปรารถนาอธิษฐานให้ผู้ถูกสะกดจิตขาดสติสัมปชัญญะ หมดความรู้สึกตัวตกอยู่ใต้การบังคับบัญชาของตนเพียงผู้เดียว
.....ไม่ว่าผู้สะกดจะบัญชาให้ไปทำดีหรือทำชั่วก็ต้องกระทำตามซึ่งล่อแหลมต่ออันตรายมาก
.....ถ้าผู้ถูกสะกดเป็นโรคเส้นประสาทมาก่อนอาจจะทำให้เป็นบ้าได้ หรือถ้าชะตาถึงฆาตก็อาจจะตายขณะสะกดจิตนั้นเอง
.....หรือถึงแม้จะไม่เป็นไร ผู้ถูกสะกดต่อมาภายหลังก็มักจะเป็นคนใจลอย ขาดสติสัมปชัญญะฉะนั้นอย่าเสี่ยงดีกว่า
.....ประการที่สอง ผู้ที่ทำการสะกดต้องฝึกสะกดตัวเองเสียก่อน คือฝึกให้ประสาทแข็งกร้าวบ้าง ลูกนัยน์ตาแข็งค้างเบิ่งนิ่งเป็นเวลานานๆ บ้าง
.....บางคนก็ทำให้ร่างกายตนเองแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ขาดสติสัมปชัญญะไปนานๆ
.....ในบั้นปลายชีวิตนักสะกดจิตมักจะป้ำๆเป๋อๆเป็นคนไม่เต็มบาท เพราะการหมั่นฝึกฝนให้ตนเองเป็นคนขาดสติอยู่ประจำนั้นเอง
.....นับว่าปิดประตูพระนิพพานของตนเองไปอย่างน่าเสียดาย
.....ประการที่สาม ในกรณีสะกดคนไข้เพื่อการรักษาในทางการแพทย์ ดูๆก็เป็นประโยชน์ดี
.....แต่อย่าเสี่ยงดีกว่า ช่วยเขาให้หายแค่เราเองกลายเป็นบ้า ใช้หยูกยาชนิดอื่นแทนก็ได้
.....อีกประการหนึ่ง การที่บุคคลเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น แท้จริงเนื่องจากกรรมชั่วในอดีตที่ตามมาให้ผลทั้งสิ้น ถ้าเป็นชนิดกรรมหนักๆ ถึงแม้จะไปเอาผู้วิเศษมารักษาก็ไม่หาย
.....แต่กรรมเบาๆไม่หนักหนาเกินไปเพียงใช้ยาก็รักษาให้หายได้ไม่ต้องไปสะกดให้เสียเวลา
.....ประการที่สี่ ในขณะที่ทำการสะกดนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบบตะวันออกที่ใช้คาถาอาคม หรือแบบตะวันตกที่ใช้การเพ่งจิตอย่างเดียวก็ตาม
.....ขณะที่ทำการสะกดนั้นฝ่ายมารส่งฤทธิ์ให้ทั้งนั้น
.....เหมือนกับประเทศไทยถ้าจะมีการจลาจลแบ่งแยกแผ่นดินไทยขึ้นเมื่อไร ไม่ว่าเราจะต้องการเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ คอมมิวนิสต์เป็นยิ้มหวาน ยื่นมือเข้าช่วยทันที ส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ให้เราเข่นฆ่ากันเองเพื่อประโยชน์ของมันในบั้นปลาย
.....ประการที่ห้า การสะกดจิตเพื่อผลการค้นคว้าทางวิญญาณนั้น ข้าพเจ้าขอเตือนว่าท่านจะไม่ได้พบความจริงเลย ไม่ว่าจะสะกดจิตตัวเองหรือผู้อื่น แต่ท่านจะได้เห็นเพียงอาการของจิตเท่านั้น
....สภาพของนักค้นว้าทางจิตที่ใช้การสะกดจิตเป็นเครื่องมือก็เปรียบเสมือนคนตาบอดคลำช้างนั่นแหละ ว่ากันไปต่างๆนานา ไม่ได้ความสักคนเดียว เพราะอะไร? ก็เพราะที่เรียกว่า “จิต” หรือเรียกว่าวิญญาณ หรือเรียกว่าใจนั้น
.....แท้จริง คือ เห็นอย่างหนึ่ง จำอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่ง
.....สี่อย่างนี้รวมเข้าด้วยกันเป็นจุดเดียวกันนั้นแหละเรียกว่าใจ
.....อยู่ที่ไหน? อยู่ในเบาะน้ำเลี้ยงหัวใจ คือ
.....ความเห็นอยู่ท่ามกลางกาย ความจำอยู่ท่ามกลางเนื้อหัวใจ ความคิดอยู่ท่ามกลางดวงจิต ความรู้อยู่ท่ามกลางดวงวิญญาณ
.....เห็นจำคิดรู้สี่ประการนี้หมดทั้งร่างกาย ส่วนเห็นเป็นต้นของรู้ ส่วนจำเป็นต้นเนื้อของหัวใจ ส่วนคิดเป็นต้นเนื้อของจิต ส่วนรู้เป็นต้นเนื้อของดวงวิญญาณไล่กันเป็นชั้นๆไปดังนี้
.....จะรู้จะเห็นได้ก็โดยการฝึกสมาธิแบบพระเท่านั้น
.....สิ่งที่งมงายที่สุดในนักค้นคว้าทางจิตตลอดจนนักสะกดจิตและนักค้นคว้าวิญญาณก็คือ ไม่ยอมเชื่อว่าสามารถมองเห็นจิตได้
.....เพียงพื้นฐานเบื้องต้นแค่นี้ ยังไม่เข้าใจแล้วจะไปค้นคว้ามันทำไม ยิ่งค้นมากเท่าไร ยิ่งถูกมารมันหลอกจูงจมูกมากเท่านั้น
.....แต่ถ้ารักจะค้นคว้าจริงๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตา ฝึกสมาธิไปดีกว่าไม่ช้าย่อมรู้ได้เอง
.....ประการที่หก พวกสะกดจิตทุกคนตกนรกหมดไม่เหลือหลอ เพราะจะต้องตายอย่างผู้ขาดสติ ตามความเคยชินที่ฝึกฝนตนเองไว้
.....เมื่อพ้นเวรจากนรกกลับมาเกิดใหม่ก็จะกลายเป็นคนใจลอยบ้าง โรคลมบ้าหมูบ้าง สติฟั่นเฟือนอีกไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันชาติบ้าง และถ้าหากยังไม่สิ้นเวร
.....ถ้าแม้ในชาตินั้นๆจะเกิดไปพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ใหม่ในเบื้อหน้าก็ไม่สามารถรองรับเอาธรรมของพระองค์ไว้ได้ เสียชาติเกิดเปล่าๆ เพราะความงมงายไปฝึกวิชามาร

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 4)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


*** ดับพิษไฟ
.....วิชาที่สองที่ข้าพเจ้าเรียนต่อมา คือ ดับพิษไฟ แบบไสยศาสตร์ข้าพเจ้าเสียเวลาเรียนอยู่เจ็ดวัน จึงจะเริ่มดับพิษไฟได้บ้าง จากนั้นก็หมั่นฝึกฝนหาความชำนาญเรื่อยมาหมดถ่านไปหลายสิบกระสอบ
.....ประมาณ 1-2 ปี ข้าพเจ้าก็สามารถย่ำเท้าเปล่าบนถนนถ่านเพลิงที่ติดแดงลุกโชนได้
.....น้ำมันเดือดๆ ที่ตั้งอยู่บนเตาไฟ หรือกล้วยแขกที่แม่ค้ากำลังทอดเดือดๆอยู่ในกระทะ.....พอดับพิษไฟแล้วข้าพเจ้าเอามือเปล่าลงไปความช้อนขึ้นมากินได้โดยไม่สะทกสะท้าน
.....ผู้ที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก ถ้าพบข้าพเจ้าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอให้เสียเวลา
.....ขอข้าสารเพียง 1 หยิบมือเกลือ 2-3 เม็ด ใส่ปากเคี้ยวไปนึกท่องคาถาไป พอข้าวสารแหลกดีก็พ่นใส่บริเวณที่ถูกไฟหรือน้ำร้อนลวก ไม่เกินสามอึดใจคนไข้เหล่านั้นจะหายปวดแสบปวดร้อนทันที ทั้งที่ไม่ต้องมีตัวยาอื่นใดปนทั้งสิ้น
.....เนื้อความในบทคาถาสำหรับดับพิษไฟก็เป็นการกล่าวสรรเสริญคุณพระโมคคัลลาน์ว่ามีฤทธิ์มากสามารถดับไฟในนรกพ้นทุกข์จากการถูกไฟเผาได้
.....จึงไม่มีอะไรให้จับพิรุธได้เลยว่า วิชาดับพิษไฟเป็นวิชามาร
.....ยกเว้นจะสังเกตจากวิธีการทำสมาธิของมันอย่างใกล้ชิดเท่านั้น หลักวิชาทำสมาธิของฝ่ายมารคือ หลอกให้ลูกศิษย์ของมันเอาใจไปตั้งไว้ที่วัตถุนอกตัว
.....ถ้าฝึกเพ่งกสิณ จะเป็นกสิณน้ำหรือกสิณไฟหรือกสิณชนิดใดๆก็ตาม ก็ให้เอาใจไปตั้งไว้ที่แก้วน้ำหรือกองไฟ หรือวัตถุที่ใช้เป็นกสิณนั้น
.....ครั้นฝึกไปๆดวงกสิณก็เกิดขึ้น แต่เป็นดวงสว่างนอกตัว เวลาจะเสกจะเป่าทำของขลังเช่น เสกปูนคาดคอให้หนังเหนียวก็เพ่งดวงสว่างนั้นไปที่ปูน
.....หรือถ้าจะตรวจดูใต้ดินว่ามีอะไรบ้าง ก็เอาดวงสว่งนั้นฉายพุ่งลงไปในดินเหมือนใช้ไฟฉายส่องดู
.....การทำเช่นนี้มีข้อเสียคือ
.....1.ความสว่างของดวงกสิณเกิดขึ้นน้อยมาก คือสว่างแค่ดวงเทียนอย่างมากก็แค่ไฟฉาย หรือไม่เกินคืนเดือนหงาย
.....ทำให้เป็นไม่ตรงตามความเป็นจริงเสมอไป ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่เห็นทางสายกลาง
.....2. กำหนดดวงกสิณได้ยากมาก
.....3. ทำให้เกิดความเห็นผิด คือมารมันจะหลอกเอาว่าสมาธิเล็กน้อยที่ตนทำได้นั้นถึงที่สุดแล้ว
.....เหตุนี้เองเอาฬารดาบส และอุทกดาบส จึงถูกหลอกให้ติดอยู่ในอรูปฌานว่านั้นคือนิพพานจนกระทั่งตาย
.....แถมยังจะต้องถูกหลอกอย่างนี้อีกหลายร้อยหลายพันชาติ
.....สำหรับหลักวิชาของฝ่ายพระ คือ สอนให้เก็บใจไว้ในตัวโดยเอาใจไปตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกาย (ตรงกลางท้อง)
.....ถ้าจะกำหนดกสิณไม่ว่ากสิณชนิดใดก็กำหนดไว้กลางกาย จะพิจารณาธรรมอันใดก็ตาม หรือจะแผ่เมตตาก็ตามก็กำหนดอยู่ตรงศูนย์กลางกาย
.....เมื่อกำหนดเข้าศูนย์กลางกายได้ ไม่ช้าก็เข้าถึงศูนย์กลางภพได้แล้วเข้าถึงศูนย์กลางพระนิพพานได้โดย อัตโนมัติ ไม่ลำบากยากเย็นเลย
.....ความสว่างภายในที่เกิดขึ้นก็สว่างมากกว่าเอาดวงอาทิตย์พันๆหมื่นๆดวงมารวมกันเสียอีก
.....สว่างจนกระทั่งเห็นภพของมารชัดเจน มารมันจึงกลัวนัก พอเห็นพระเท่านั้นวิ่งหางจุกกันทีเดียว
.....การกำหนดดวงกสิณก็ง่ายกว่า และที่สำคัญคือเข้าทางสายกลางอันประกอบด้วยมรรคมีองค์แปดได้อย่างง่ายดาย แม้แต่เด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบ ก็สามารถทำได้
.....เมื่อพระอรหันต์จะไปเที่ยวดูนรก ท่านก็ทำใจหยุดเข้าไปในศูนย์กลางกายของท่าน พอใจหยุดถูกส่วนก็เข้าถึงธรรมกาย ใจของธรรมกายหยุดได้ถูกส่วนก็เข้าถึงศูนย์กลางนรก
.....รังสีความเย็นของธรรมกายนั้นมีสุดประมาณ ก็จะดับไฟนรกที่กำลังแผดเผาอยู่ให้ดับสนิทได้อย่างเฉียบพลับ อุปมาเหมือนเอาปลายธูปจุ่มลงไปในทะเลน้ำแข็งฉะนั้น
.....ด้วยเหตุนี้พระโมคคัลลาน์จึงไม่เคยใช้คาถาดับพิษไฟใดๆทั้งสิ้น
.....ไม่เฉพาะพระโมคคัลลาน์เท่านั้น แม้ท่านผู้อ่านก็เหมือนกัน เมื่อฝึกสมาธิจนกระทั่งถึงธรรมกายแล้ว (ฝึกไม่ยาก) ก็อาศัยธรรมกายนี่แหละปาฏิหาริย์ลงไปไฟนรกจะดับเอง
.....บางท่านอาจเถียงว่า วิชาดับพิษไฟเป็นวิชาของพระ เพราะช่วยดับทุกข์มนุษย์ได้ เปล่าเลยมันเป็นวิชามาร
.....มันเห็นเราเอาจริงตั้งใจฝึกสมาธิไม่ลดละ
.....มันจึงหลอกให้เราเอาใจไปตั้งที่วัตถุนอกตัว จะได้ไม่เห็นตัวพวกมันชัด ตกอยู่ในอำนาจการปกครองของมันตลอดไป
.....ถ้าเราฝึกได้ถูกทางเราก็จะหลุดพ้นจากอำนาจของพญามารและสามารถปราบมันได้อีกด้วย
.....นานๆ ทีก็สมยอมให้เราทีฤทธิ์ดับพิษไฟกองเล็ก ๆ นอกตัวได้ แต่เพิ่มไฟในตัวคือหลงผิด คือว่าตัวเองเก่งให้ไหม้โหมเผาใจเราหนักเข้าไป
.....พอสุดท้ายเราก็ตายไปพร้อมกับความหลงว่า กูเก่ง
.....แต่ถ้าเราดับพิษไฟภายใน คือความหลงได้แล้ว เรื่องดับไฟภายนอกน่ะเรื่องเล็ก ต่อให้เป็นดวงอาทิตย์ก็ดับได้สบายมาก
.....ฉะนั้นผู้ใดก็ตามไม่ว่าฆราวาสหรือพระสงฆ์ที่ตั้งตนเป็นอาจารย์รูดโซ่ ลุยไฟ ดับพิษไฟ ฯลฯ อยู่ในขณะนี้นั้น
.....ขอให้ทราบเถิดว่าท่านไม่ใช่ศิษย์ของพระตถาคตแล้ว กำลังถูกมารจูงจมูกอยู่ จงเลิกเสียเถิด
.....แล้วหันหน้ามาปฏิบัติธรรมอย่างจริงๆจังๆ จะได้เข้าถึงธรรมกายตามพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายไปเสียที
.....ขณะนี้ท่านที่ฝึกสมาธิจนกระทั่งได้ธรรมกายแล้ว ในประเทศไทยมีเป็นเรือนแสน และที่กำลังจะได้ก็ยังมีอีกนับไม่ถ้วน
.....ด้วยอำนาจบุญของผู้ประพฤติธรรมเหล่านี้ ไทยจึงเป็นไทยอยู่ได้เพราะธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมเสมอไป
.....หาไม่ประเทศไทยคงถึงแก่ความย่อยยับอัปปางไปนานแล้ว ไม่สามารถลอยลำฝ่าวิกฤตการณ์ต่างๆมาได้
.....ลองคิดดูให้ดี นอกจากธรรมแล้ว เราไม่มีหลักประกันความมั่นคงของประเทศชาติอย่างอื่นเลย
.....ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เพราะทิ้งศาสนาเลิกประพฤติธรรมจึงไม่รอดพ้นจากวิกฤตการณ์สักประเทศเดียว
.....อินเดียเป็นประเทศใหญ่กว่าเรามาก แต่ก็ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศเล็กๆ คือประเทศอังกฤษ
.....ประเทศจีนก็เช่นกันเนื่องจาก เมื่อไปสืบพระพุทธศาสนาจากอินเดีย จีนได้พระสูตรไปเป็นส่วนมากพระวินัยได้ไปน้อย
.....พระภิกษุจีนจึงประพฤติศีลหย่อนยาน เป็นหลวงจีนแล้วก็ยังดื่มเหล้า ฆ่าคนได้
.....ประเทศจีนจึงต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ฆ่ากันเองตายตั้งหลายสิบล้านคน แม้ปัจจุบันก็ยังไม่ยอมเลิกราวาศอกกัน
.....พม่าก็รับพระวินัยมาน้อยทำให้ศีลของพระภิกษุพม่าหย่อนยานประชาชนก็ หย่อนศีลตาม พม่าจึงตกเป็นเมือขึ้นของอังกฤษไป แม้ปัจจุบันก็ยังไม่ฟื้น
.....ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราตั้งแต่ลังกา เวียดนาม เขมร ลาว ก็ประพฤติธรรมหย่อนยานตกอยู่ในอาการเดียวกัน จึงให้มีอันต้องตกระกำลำบากดังที่เห็นกันอยู่
.....ไทยเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่รักษาตัวได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะเรารักษารากฐานทางศาสนาที่สำคัญที่สุดคือศีลไว้ได้ จึงช่วยให้ประชาชนทั่วไปสามารถประพฤติธรรมข้ออื่นได้สะดวก
.....แต่ว่าทุกวันนี้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กจำนวนมากกำลังจะทิ้งศีลตั้งหน้าจะกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน ส้องเสพย์สุรา นารี และการพนัน อนาคตของชาติจึงน่าวิตก
.....ถ้ารักชาติจริง สาธุ! จงทิ้งอบายมุขเสียเถิด
.....เมื่อข้าพเจ้าสามารถดับพิษไปตามวิธีของมารได้ชำนาญแล้ว ก็สามารถส่งกระแสใจออกไปไกลตัวได้ตามลำดับ (ความจริงต้องถือว่าส่งไปได้แคบมากเมื่อเทียบกับวิธีของพระ)

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 3)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


*** เหตุหลงมาร

.....ถ้าใช้ตาธรรมกายดูรอบๆ ตัว ขณะทำพิธีเสกปูน พลู อยู่นั้นก็คงพบว่าวิญญาณของครูบาอาจารย์ที่มาช่วยกันส่งฤทธิ์ประสิทธิ์ประสาทความศักดิ์สิทธิ์ให้หนังเหนียวนั้นต่างไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่พรหม ไม่ใช่พระ แต่ล้วนเป็นเหล่ามารใจบาปทั้งสิ้น.....ร่างกายของมันใหญ่โต กำยำปานภูเขา ผิวดำเป็นนิล ผมเผ้ายาวรุงรังเป็นกระเซิง หน้าตาดุร้าย จิตใจเหี้ยมโหดอำมหิต
.....รูปวาดพวกเปรต พวกสัตว์นรกพวกยักษ์ตามฝาผนังโบสถ์ สมัยโบราณว่าน่าเกลียดน่ากลัว จนไม่อยากชำเลืองอยู่แล้วนั้น พวกมันกลับยิ่งซ้ำร้ายกว่าอีกหลายหมื่นหลายแสนเท่า
.....ที่มันมาส่งฤทธิ์ให้นี้ก็เพื่อต้องการล่อลวงให้ข้าพเจ้าใจฮึกเหิม ตกเป็นเครื่องมือในการสร้างบาปของพวกมันเท่านั้นเอง หาได้ปรารถนาดีแต่ประการใดไม่
.....น่าเสียดาย ขณะนั้นข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินแม้คำว่า ธรรมกาย จึงถูกมารหลอกใช้เชื่อจนหมดใจว่ามันนั่นแหละเป็นพระ
.....ท่านผู้อ่านเองก็เถิด ถ้าตกไปอยู่ในสภาพเดียวกันกับข้าพเจ้า คือสามารถเสกปูนเสกใบไม้ทำให้หนังเหนียวได้
.....ก่อนทำการเสกก็ตั้งใจอาราธนาคุณพระรัตนตรัยตลอดจนคุณบิดามารดา อีกคุณครูบาอาจารย์ ให้มาช่วยบันดาลให้การเสกนี้สัมฤทธิ์ผลทันตาเห็น
.....ท่านก็ย่อมเชื่อจนหมดใจลงไปเช่นกันว่าผู้ที่ส่งฤทธิ์ให้นี้ต้องเป็นพระ อย่างแน่นอน ใครจะมาทักท้วงอย่างใดย่อมไม่ยอมรับฟังทั้งสิ้น
.....แต่หามิได้ท่านผู้อ่านที่รัก
.....เมื่อพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว บางครั้งมารก็แสร้างแสดงอาการหวังดี ประดุจว่ามันนี่แหละเป็นพระมีความเมตตารักใคร่ในศิษย์คอยติดตามเป็นห่วงเป็นใย
.....หรือบางทีจิตของเราหยาบไป ไร้ความสุขุม รอบคอบ ก็อาจทำให้หลงเป็นความสงบสำรวยของพระกลายเป็นมารขัดขวางความเจริญไปก็มี
.....ยิ่งกว่านั้นบางทีถึงกับหลงตำหนิวิชาทางฝ่ายพระ ที่มุ่งสอนให้สละกาม สละโกรธ มุ่งสันโดษ มุ่งสันติ ว่าเป็นการชักจูงให้คนวิกลจริตไร้เสียซึ่งความรับผิดชอบอันดีต่อสังคม
.....แต่วิชาฝ่ายมารที่ยั่วยุให้บังเกิดความฮึกเหิมบ้าง กามราคะกำเริบบ้าง จองเวรล้างผลาญกันบ้างกลับดูน่ารัก น่าพิสมัย มีเหตุมีผล มีคุณค่าควรแก่การนับถือ สมควรปฏิบัติตามเพราะถูกกับกิเลสในตัว
.....จึงหลงเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นวิชาของพระไป
.....ซ้ำร้ายในรายของข้าพเจ้าท่านอาจารย์กลับย้ำตอกหมุดแห่งความหลงผิด ให้จมลึกเข้าไปจนสุดก้นบึ้งหัวใจอีกด้วย:-
.....”อันวิชาคงกระพันชาตรีนี้มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับชนชาติไทยมาแต่โบราณกาล ดูแต่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเถิด
.....ครั้งกระนั้นมีบุรุษหนึ่งเลิศชายชื่อ พลายแก้ว ต่อเมื่อเลื่อนยศและเป็น ขุนแผน
.....ได้พากเพียรเรียนร่ำวิชาคงกระพันชาตรีนี้จนสำเร็จ เนื้อหนังจึงคงทนศาสตราอาวุธได้ทุกชนิดเป็นที่คร้ามเกรงแก่หมู่ปัจจามิตรที่คิดร้ายต่อกรุงศรีอยุธยา
.....ต่อมาวิชานี้ตกทอดจนถึงสมเด็จพระนเรศมหาราชพระองค์ได้อาศัยวิชานี้ ทำให้สามารถกู้ชาติกลับมาได้ หาไม่แล้วคงจะถูกพม่าฆ่าตายเมื่อคราวนำทหารกล้า ปีนขึ้นปล้นค่ายพม่าที่บางปะหัน
.....ฉะนั้นเจ้าจงสืบทอดและรักษาวิชานี้ต่อไปให้ดี เมื่อถึงคราวจำเป็นจะได้ใช้ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
.....แต่มันเป็นวิชามารนะท่านอาจารย์ เรียนแล้วได้ไม่คุ้มเสีย
.....ที่กล้าพูดเต็มปากว่าเป็นวิชามารก็เพราะ
.....ประการที่หนึ่ง เมื่อเรียนวิชานี้แล้ว มักพาใจให้ฮึกเหิมนึกว่าตนเองเก่งกล้าเหนือคนทั้งหลาย ตกอยู่ในข่ายประมาท
.....ถ้าสันดานเดิมเป็นคนต่ำทรามอยู่แล้วก็ยิ่งพาให้ลำพองไม่เกรงอาวุธ ไม่กลัวตาย ประพฤติตนเกะกะเป็นนักเลงหัวไม้หรือกลายเป็นโจรไป
.....ถ้าแต่เดิมเป็นคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่เกะกะ เมื่อเรียนวิชาคงกระพันนี้แล้ว ก็จะผิดปกติไปจนได้ ถึงแม้จะไม่ระรานผู้ใดก่อน
.....แต่เมื่อมีเหตุร้ายที่พอจะหลีกเลี่ยงได้เกิดขึ้น ก็ชักจะไม่ยอมหลีกเพราะถือว่าตนก็ศิษย์มีอาจารย์ ได้รับคาถาดีไว้คุ้มหัวแล้ว เป็นอย่างไรก็เป็นกัน
.....เรื่องร้ายที่สมควรจะระงับได้ด้วยการให้อภัยกันก็กลายเป็นเรื่องต้องลงไม้ลงมือด้วยความอวดอื้อถือดีจนได้
.....ครั้นวิวาทกันแล้วไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ ย่อมเป็นการก่อเวรกันไม่รู้จบด้วยกันทั้งสิ้น
.....ฉะนั้นทางที่ดีแล้วอย่าไปเรียนเลย
.....ถ้าเกรงจะถูกคนพาลรังแกข่มเหง ก็ให้ หมั่นสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ทุกคืน เช้าออกจากบ้านไปทำงานก็สมาทานศีล 5 เสียก่อน
.....รับรองว่าไม่มีใครมารบกวนหาเรื่องรังแกกับท่านแน่ๆ เพราะธรรมย่อมรักษาและคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
.....หรือถ้ายังมีคนตามมารังแกท่านอีก ก็แสดงว่ากรรมชั่วในอดีตชาติกำลังตามมาให้ผล จงสู้ทนแข็งใจรับไว้
.....อย่าก่อกรรมใหม่ ไม่ช้าพอหมดแรรมเก่าเรื่องร้ายก็กลายเป็นดีได้เอง
.....การไปเรียนวิชาทำให้หนังเหนียว แล้วไม่ตั้งใจถือศีลและทำความดีนั้นไม่ใช่การป้องกันที่เหตุแต่เป็นการแก้ที่ผล
.....ซึ่งผิดหลักของพระพุทธศาสนา แม้จะประกาศตนว่าเป็นชาวพุทธแต่ก็หลุดไปจากศาสนาโดยปริยายแล้ว
.....ประการที่สอง ในการใช้อำนาจจิตทำให้หนังเหนียวด้วยวิธีของมารนี้
.....สำหรับผู้ฝึกใหม่จำเป็นต้องกลั้นลมหายใจไว้เป็นช่วงๆ หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องปลุกพระตามวิธีไสยศาสตร์เข้าช่วยจึงจะได้ผล
.....ทำให้ติดนิสัยกลั้นลมหายใจในขณะทำสมาธิโดยไม่รู้ตัว เป็นผลเสียในการฝึกสมาธิเบื้องสูงต่อไป
.....ฉะนั้นส่วนมากแล้วผู้ที่ฝึกวิชามารมาก่อนจึงไม่สามารถฝึกสมาธิขั้นสูงได้ หมดโอกาสสำเร็จมรรคผล
.....ได้เพียงโลกียฤทธิ์เล็กๆน้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มทำนองเดียวกับเทวทัตในสมัยพุทธกาล
.....สำหรับการปลุกพระตามวิธีไสยศาสตร์นั้นเป็นเรื่องของความงมงาย คือ
.....เอาพระเครื่องใส่มือแล้วกลั้นลมหายใจเข้าออก ว่าคาถาในใจ ครั้นจะหมดอากาศก็เกิดอาการสั่นเทา ชักดิ้นชักงอเหมือนปลาถูกทุบ หรือสัตว์ใกล้ตาย
.....ยิ่งดิ้นทุรนทุรายมากเท่าไรก็มักจะทึกทักเอาว่า พระเครื่องในมือนั้นศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเท่านั้น
.....แท้จริงแล้วควรจะเรียกวิธีการเช่นนี้ว่า ปลุกเปรต หรือปลุกสัตว์นรก ต่างหาก
.....คำว่า ปลุกพระ ถ้าจะพูดให้เต็มต้องพูดว่า ปลุกตัวเองให้เป็นพระ
.....และคำว่า พระ แปลว่า ประเสริฐ ดังนั้น ปลุกพระก็คือปลุกตัวเองให้เป็นคนประเสริฐ
.....คนที่จะนับว่าประเสริฐได้อย่างน้อยก็ต้องมีศีล
.....ฉะนั้นการปลูกพระที่ถูกวิธีที่สุดคือ เมื่อมีพระเครื่องอยู่กับตัวแล้ว แทนที่จะกลั้นลมหายใจท่องคาถาตามวิธีดังกล่าว
.....ก็เปลี่ยนเป็นตั้งใจสมาทานศีล 5 หรือ ศีล8 กับพระเครื่องนั้น ตามแต่กำลังศรัทธา
.....ยิ่งรักษาศีลได้มากข้อ เราก็ยิ่งประเสริฐมากขึ้น
.....โปรดระลึกเสมอว่า อาการใดก็ตามถ้าขาดความสำรวมระงับเช่นชักดิ้น ชักงอ กระโดโลดเต้น เอะอะตึงตัง ฯลฯ
.....อาการนั้นย่อมไม่ใช่อาการของศิษย์ตถาคต แต่เป็นอาการของศิษย์มารต่างหาก
.....ใครที่ชอบปลุกพระหรือปลุกตัวตามวิธีไสยศาสตร์ จงเลิกเสียทั้งพระภิกษุทั้งฆราวาสนั่นแหละ อย่าไปเห็นแก่อามิสสินจ้าง หรือชื่อเสียงจอมปลอมอยู่เลย
.....หันหน้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังให้ถูกต้องร่องรอยของศาสนาดีกว่า
.....มิฉะนั้นจะบ้าหรือประสาทเสียหรือไม่ก็เส้นโลหิตแตกตายไปโดยใช่เหตุ ครั้นตายแล้วยังจะต้องไปชักดิ้นชักงอต่อในนรกอีกเป็นพันปีหมื่นปี
.....ประการที่สอง การเรียนวิชาคงกระพันชาตรี ทำให้เกิดการเคารพบูชาในสิ่งที่ผิด ผู้ที่ควรแก่การกราบไหว้บูชาที่นั้นคือผู้ที่ปลูกฝังความเห็นถูกให้แก่เรา ไม่ว่าผู้นั้นจะอายุมากหรือน้อยกว่าเราก็ตาม
.....เช่นสอนเราให้ทำทาน ถือศีล ไม่เกะกะระราน ไม่จองเวรกัน ฯลฯ ชาวพุทธต้องจำใส่ใจเสมอว่า สิ่งที่ควรแก่การบูชานั้นไม่ใช่ผี ไม่ใช่เปรต ไม่ใช่ยักษ์ ไม่ใช่มาร ไม่ใช่เจ้าพ่อเจ้าแม่ ฯลฯ
.....ถ้าใครบูชาพวกนี้แล้วก็จะพลอยมีความเห็นผิดตามพวกมันไปด้วย คือคิดถึงความดีก็ไม่ค่อยออก แต่คิดวิธีจองล้างจองผลาญผู้อื่นได้อย่างฉับพลันทันใจทีเดียว
.....ครั้นเราหลงไปเรียนวิชาของมันเข้า ก็เท่ากับเราบูชามันกลายเป็นเสนา มารตัวแสบให้แก่มันทันที
.....ท่านผู้อ่านที่รัก เราเป็นคนผู้ประเสริฐอยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปเคารพผี เคารพเปรต เคารพมาร ให้กลายเป็นพาลตามพวกมันไปด้วยเล่า
.....เมื่อ พ.ศ.2501 ข้าพเจ้าเรียน วิชาใส่ปรอท จากท่านอาจารย์ทรัพย์ เมื่อใส่ปรอทเข้าไปในตัวคนไข้แล้ว ก็สามารถรักษาโรคชนิดต่างๆให้หายได้ ถ้าใส่ตนเองก็ทำให้คงกระพันหนังเหนียวได้
.....แต่ครูผู้ล่วงลับเจ้าของวิชานี้ดุร้ายมาก ถ้าศิษย์ทำผิดคำสั่งแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจถูกทำโทษถึงตาย
.....อยู่มาวันหนึ่งอาจารย์ทรัพย์เองใส่ปรอทรักษาโรคมะเร็งให้คนไข้ แต่ท่านอายุมากแล้วเผลอลืมยกครูก่อน พอใส่ปรอทคนไข้เสร็จประมาณ 30 นาทีเท่านั้น
.....ทั้งๆที่ท่านนั่งคุยอยู่ดีๆท่านหงายหลังล้มตึงสิ้นสติขาดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเป็นสัญญาณบอกให้รู้ล่วงหน้า
.....กระอักโลหิตออกมาประมาณครึ่งชามโคม ลูกศิษย์แต่ละคนต่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งประคองท่านอาจารย์มือไม้ สั่นเป็นเจ้าข้า คว้ายาหม่องมาให้ดมละลายยาลมมาให้กินไปตามประสา
.....รุ่นพี่คนหนึ่งของข้าพเจ้าอายุมากแล้ว มีสติดีกว่าศิษย์คนอื่นๆ และในกระบวนลูกศิษย์ด้วยกันแล้ว ท่านมีสมาธิเป็นเยี่ยม
.....ท่านนั่งเข้าที่ทำสมาธิอยู่คณู่หนึ่ง จึงนิมิตเห็นอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ตัวดำเป็นนิล หน้าตาเหี้ยมเกรียมตวาดเตือนมาว่า ทำไมจึงไม่ยกครูก่อน สั่งสอนกันเบาะๆ ด้วยการเหยียบอกลูกศิษย์จนกระอักโลหิตตั้งครึ่งค่อนชาม
.....ท่านผู้อ่านช่วยตัดสินทีซิว่า อาจารย์ที่ว่านั้นเป็นพระหรือมารกันแน่?
.....ประการที่สี่ เมื่อใดที่ผู้ศึกษาวิชาคงกระพันชาตรีได้คิดกลับใจมาเรียนธรรมะ อันเป็นวิชาฝ่ายพระโดยตรง เช่นฝึกวิชาธรรมกายเป็นต้น
.....เมื่อนั้นมันจะตั้งตัวเป็นศัตรูตามจองล้างจองผลาญทันที
.....จะทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้มันไปเท่าไรมันก็รับส่วนบุญเอาไว้หมด แต่มันไม่ยอมลงลาวาศอกเลิกขัดขวาง
.....โดยเฉพาะเวลาทำสมาธิตามหลักวิชาธรรมกายแล้ว ถ้าเราเผลอปล่อยให้จิตเคลื่อนไปจากที่ตั้งแม้เพียงแค่ปลายเข็ม มันเป็นต้องบุกเข้ารังควาน
.....บางครั้งมันแกล้งทำให้เกิดความรู้สึกคล้ายมีคนเอามีดขวาน เข็ม หรือของมีคมต่างๆมาทิ่มแทงเชือดเฉือนตามเนื้อตามตัวบ้าง ตามปลายนิ้วมือบ้าง ตามปลายลิ้นบ้าง ตามบริเวณเนื้ออ่อนๆ ทั่วทั้งตัวบ้าง ฯลฯ อยู่เสมอ
.....กว่าอาการเหล่านี้จะหายสนิท ก็ต้องใช้เวลาแรมปี
.....ประการที่ห้า วิชาคงกระพันชาตรีนี้ถึงจะฝึกฝนอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้หนังเหนียวตลอดไปได้ เพราะมันฝืนหลักธรรมชาติ
.....เป็นต้นว่าทั้งๆ ที่ทดลองยิงหรือฟันกันอยู่หยกๆ ว่าหนังเหนียวได้ที่แล้วนีแหละ
.....แต่เมื่อไปอยู่ต่อหน้าผู้เข้าถึงธรรมกายแล้ว วิชานี้ก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์หนังก็เลิกเหนียว
.....เพราะอาจารย์มารเหล่านั้นเกรงบารมีพระธรรมกายไม่อาจเข้าใกล้ได้ จำต้องหยุดส่งฤทธิ์ให้ศิษย์ของมันชั่วขณะหนึ่ง ขณะนั้นถูกเพียงปลายมีดพับสะกิดเบาๆรับรองว่าต้องหลั่งเลือดจนได้
.....หรือไม่เช่นนั้นหลังจากที่มารมันยั่วยุให้เราฮึกเหิมก่อเวรก่อกรรมมากเข้าๆ จนกระทั่งบาปหนักเต็มที่เราจะทำความดีมาลบล้างเท่าไรก็ไม่หมดแล้ว พวกมันก็ไม่ได้รับประโยชน์จากเราต่อไปอีก
.....มันก็จะไสหัวทิ้งไม่ส่งฤทธิ์ให้อีก หนังเราก็เลิกเหนียว ปล่อยให้เราทนรับผลกรรมชั่วตามลำพัง
.....เหมือนพ่อค้าฝิ่นที่ใจดำอำมหิต ครั้งเห็นว่านักเลงที่มันเลี้ยงไว้ฝีมือตก ทำประโยชน์ให้มันไม่คุ้มค่า มันก็ปล่อยให้ถูกตำรวจเก็บเสีย ไม่ยอมช่วยเหลือวิ่งเต้นแต่อย่างใด
.....นี่คือคำตอบว่าทำไมไอ้โจรหนังเหนียวทั้งหลายจึงถูกตำรวจฆ่าตายไปแล้วนับไม่ถ้วน
.....ประการที่หก ผู้เรียนวิชาคงกระพันชาตรีแล้วนับวันจะยิ่งมีความเห็นผิดเป็นชอบมากขึ้น
.....โดยมากแล้วมักจะอวดดื้อถือดีว่าการทำให้หนังเหนียวได้นั้น เป็นสุดยอดของวิชาธรรมภาคปฏิบัติแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่เคยลงมือปฏิบัติธรรม
.....พวกนี้ถึงหัวเด็ดเท้าขาดก็จะสนใจอยู่แต่เรื่องหนังเหนียว ไม่ยอดเปลี่ยนมาฝึกวิชามรรคผลนิพพาน ยกเว้นจะมีผู้ที่รู้เรืองวิชาจริงๆ มาทรมารให้สำนึก
.....เหมือนกับผู้ที่ส้องเสพอยู่กับอันธพาล ย่อมพึงพอใจในความหยาบกระด้างกักขฬะของคนพาล หลงผิดเป็นอย่างมาก ว่าการรังแกผู้อื่นได้เป็นการกระทำของคนเก่ง
.....ส่วนความเมตตาปรานีต่อเพื่อนมนุษย์ตาดำๆด้วยกัน หรือความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นการแสดงความอ่อนแอ และไม่เคยคิดที่จะแผ่เมตตาดูบ้างเลย
.....สาเหตุที่ทั้งหกประการที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นข้อยืนยันได้อย่างดีว่าทำไมวิชาคงกระพันจึงเป็นวิชามาร เป็นวิชาของโจร ไม่ควรเรียน
.....ได้โปรดเถอะอย่าแย้งเลยว่า บางครั้งเราก็จำเป็นต้องคบโจรไว้ล้างโจรเหมือนกัน เพราะไม่เคยมีใครเลยที่คบโจรแล้วจะไม่คิดเอานิสัยเลวๆของโจรมา
.....เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครเลย เมื่อจับอุจจาระแล้วจะไม่เหม็นติดมือมาด้วย
.....พวกที่เรียนวิชามารยามละจากโลกมนุษย์แล้ว มีนรกเท่านั้นเป็นที่ไป ไม่ว่ามันเหล่านั้น เดิมจะเป็นพระภิกษุ สามเณร หรือฆราวาสก็ตาม
.....ยิ่งเป็นพระภิกษุยิ่งต้องตกนรกลึกกว่าคนธรรมดา เพราะรู้แล้วก็ยังฝืนกระทำผิด

ผจญมาร (ตอนที่ 2)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


*** หนังเหนียว
.....ครั้น 2 ปีให้หลัง (พ.ศ.2500) มารก็เริ่มผจญเข้าบ้างแล้ว ครั้งใดที่จิตเคลื่อนจากฐานที่ตั้ง
.....มารก็นิมิตให้เห็นโครงกระดูกของตนเองในปัจจุบันบ้าง เห็นกองกระดูกในอดีตชาติกองทับถมกันสูงเป็นภูเขาบ้าง ถ้าตกใจกลัวก็อาจจะเสียสติเป็นบ้าไปก็ได้
.....นิมิตร้ายๆ เหล่านี้ มารมันส่งมารบกวนอยู่เรื่อยๆ ที่นิมิตให้เห็นเป็นผู้หญิงสวยๆ ก็มี เป็นเสือช้างเข้ามาจะคร่าชีวิตก็มี แต่ข้าพเจ้าก็คุมสติได้ด้วยดีไม่หวั่นหวาดตลอดมา.....เมื่อเห็นว่าสมาธิอยู่ในขั้นดีมีพื้นฐานแน่นพอใช้ได้แล้ว แรงราคะของคนหนุ่มก็ผลักดันให้เผ่นโผนโจนทะยานเข้าสู่เวทีชีวิตมุ่งแสวงหา อาจารย์ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงแห่งยุคกึ่งพุทธกาล เพื่อศึกษาการใช้อำนาจจิตกับท่านเหล่านั้นต่อไป
.....ข้าพเจ้ากราบเท้าฆราวาสท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ เพื่อขอเรียนวิชาคงกระพันหนังเหนียว
.....ท่านผู้อ่านที่รัก มันเป็นเรื่องจริงที่เหมือนฝัน ภายใน 1 ชั่วโมงเท่านั้น ข้าพเจ้าก็สามารถทำให้หนังทั่วสรรพางค์กายเหนียวคงทนศาสตราอาวุธได้
.....โดยใช้ปูนแดงหรือสีผึ้งเสกแล้วคาดคอ หรืออาจจะใช้ใบไม้เช่นใบพลูเสกแล้วกินก็ได้
.....พอกินใบไม้เสกหรือใช้ปูนเสกคาดคอแล้ว ก็จำเป็นต้องลองให้เห็นกับตาจึงจะเชื่อได้
.....ข้าพเจ้ากระชากมีดเดินป่าเล่มใหญ่ถนัดมือออกจากฝัก ใบมีดนั้นขาวเป็นวาววับและคมกริบลองโกนขนหน้าแข้งดู ขนก็ร่วงกราว
.....พออึดใจภาวนาคาถาครบสามคาบก็กลั้นฟันเปรี้ยงๆ ลงไปทั้งบนท่อนแขนท่อนขา
.....อัศจรรย์! หนังข้าพเจ้าเหนียวจริงๆ
.....ไม่มีเลือดออกมา แม้เท่ายางบอน มีแต่รอยแดงๆเป็นแนวคล้ายรอยแมวข่วน
.....เมื่อลาอาจารย์กลับถึงบ้านก็ลองวิชาให้บิดามารดาและญาติสนิทมิตรสหายดู เป็นการประกาศศักดาเดช
.....ทั้งเสกให้ตัวเอง และเสกให้เพื่อนๆด้วย (ครั้งละ 20-30 คน) เสกแล้วก็ทดลองฟังเรียงตัวปรากฏว่าหนังเหนียวทุกคน และเหนียวอยู่ได้ครั้งละไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง
.....อย่าว่าแต่คนเลย แม้สุนัขเมื่อเอาปูนเสกคาดคอให้มันแล้วหนังมันก็เหนียวไม่แพ้คน
.....โบราณเรียกวิชาคงกระพันชาตรีที่ทำให้สัตว์พาหนะ เช่น ช้าง ม้า ที่ขับขี่ไปรบจับศึกหนังเหนียวคงทนอาวุธได้ด้วยว่า วิชาแต่งกองทัพ
.....วันหนึ่งสุนัขที่ใช้ปูนเสกแล้วคาดคอ กำลังนอนหลับสบายข้าพเจ้าใช้ดาบปลายปืนคมกริบลองแทงจนสุดแรงเกิด
.....ผลคือเจ้าสุนัขเคราะห์ร้ายตัวนั้นสะดุ้งโหยง เผ่นกระโจนพรวดกราดขึ้น วิ่งไปครางเอ๋งๆ ไปเดี๋ยวเดียวก็หยุด
.....มันน่าเชื่ออยู่หรือ ไม่มีเลือดออกมาให้แมลงวันได้ลิ้มรสแม้สักหยด
.....ข้าฯ เก่ง ยอดคน เหนือคน
.....ข้าพเจ้ากระหยิ่มใจนึกอยู่อย่างนี่คนเดียว หาได้สำนึกตัวไม่ว่า ตนเองนั้นถลำเข้าไปในอุ้งมือมารผู้ใจบาปแล้ว

ผจญมาร (ตอนที่ 1)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


.....เรื่องราวทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าเขียนขึ้นจากบันทึกประจำวันเกี่ยวกับประสบการณ์ในการฝึกสมาธิและการฝึกใช้อำนาจจิตทั้งที่เป็นวิชาพระและวิชามารควบคู่กันไป.....สำหรับวิชามารนั้นข้าพเจ้าเรียนด้วยความหลงเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือวิชาพระหาได้เป็นเพราะข้าพเจ้ามีจิตใจใฝ่ต่ำไม่
.....การที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องผจญมารขึ้นนี้ไม่ใช่ต้องการจะอวดศักดา อภินิหาร ความวิเศษเก่งกล้า หรือมุ่งตำหนิติเตียนผู้ใดให้เสียหาย
.....โดยเนื้อแท้ก็เพื่อเชิดชูพระพุทธศาสนาให้สูงเด่นเป็นศรีสง่ายิ่งขึ้น และต้องการเตือนใจเยาวชนรุ่นหลัง ไม่ให้หลงเดินทางผิดตามข้าพเจ้ามาอีก
.....ในเวลาเดียวกันก็หวังจะให้เป็นเสียงตะโกนกู่เตือนใจผู้ที่หลงเดินทางผิดไปแล้ว รู้สึกตัวรีบกลับใจเปลี่ยนทิศทางเดินเสียใหม่
.....จะได้ถูกต้องร่องรอยตรงตามหลักธรรมที่เป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา
.....เมื่อข้าพเจ้ากลับคิดทบทวนย้อนหลังไปถึงการฝึกสมาธิของตนเองในอดีตแล้ว ทำให้ใจหาย ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่แล้วมา ข้าพเจ้าได้ย่ำไปทั่วขุนเขาลำเนาป่า
.....เพื่อเสาะหาผู้รู้การปฏิบัติวิปัสสนาที่แท้จริง สู้ทนตรากตรำเข้าไปปรนนิบัติวัฏฐากพระธุดงค์ทรงศีลที่ซ่อนตนปฏิบัติธรรมอยู่ ตามถ้ำ เขา ลำเนาป่าหวังให้ทานสอนธรรม
.....ที่ใดที่มีข่าวเล่าลือกันว่า มีผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้วิเศษ ผู้รู้ธรรมที่นั้น ข้าพเจ้าต้องตั้งต้นซอกซอนจนถึง ขอพบกราบเท้าท่านจนได้
.....สำนักปฏิบัติธรรมทุกแห่งประมวลมีในสมัยนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ไปถึงแล้วเกือบทั้งสิ้น
.....แต่น่าเสียดาย ส่วนมากข้าพเจ้าพบแต่การอบรมสั่งสอนชนิดที่เรียกว่า มารแท้ๆกับพระปนมารทั้งนั้น
.....จนกระทั่งเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วนี้จึงได้พบและเรียนวิชาพระล้วนๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมความปรารถนา
.....ถ้าหากว่าข้าพเจ้าได้เรียนวิชาฝ่ายพระโดยตรงตั้งแต่เริ่มแรก ป่านนี้คงจะก้าวหน้าไปได้ไกลโขทีเดียว

***หลวงพ่อลี
.....ย้อนไปเมื่อ พ.ศ.2498 ข้าพเจ้าเพิ่งจะรุ่นหนุ่มอายุได้ 15 ปี กำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 5 วัยนี้เป็นวัยที่เลือดลมกำลังร้อนระอุ
.....ดังนั้นความหมายมั่นปั้นมืออยากจะเป็นบุคคลสำคัญเหนือคนอื่นย่อมมีอยู่ในสายเลือดข้าพเจ้าบ้างเป็นธรรมดา
.....ประกอบกับความเป็นหัวโจกมีนิสัยเป็นผู้นำ ทำอะไรชอบทำจริง และการเรียนก็ไม่เคยน้อยหน้าใคร ทำให้ข้าพเจ้าออกจะห้าวหาญเอามากๆมีบ่อยครั้งเหมือนกันที่เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งเสีย เพราะความดื้อรั้น
.....แต่จะผิดชอบชั่วดีสถานใดก็ตามเถิด สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าพอใจกระทำเสมอมาคือชอบไปวัดเพื่อหาโอกาสสนทนาธรรมกับ พระภิกษุผู้ฝักใฝ่ในการฝึกสมาธิและวิปัสสนา
.....มาทราบภายหลังว่า นี่เป็นผลของกุศลกรรมในอดีตชาติ
.....ข้าพเจ้าเริ่มลงมือฝึกสมาธิด้วยตนเอง โดยอาศัยค้นคว้าจากตำรับตำราที่พอจะหาได้จากห้องสมุดประชาชน
.....ขั้นต้นลงมือฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ คือฝึกกำหนดสติไว้กับลมหายใจเข้าออก ตามวิธีของหลวงพ่อลี วัดอโศการาม เพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่ง่ายวิธีหนึ่ง ผลการฝึกได้รุดหน้าไปด้วยดีตามลำดับและไม่มีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้น
.....บางครั้งเมื่อเป็นสมาธิแน่วนิ่งดี จะเกิดอาการ คล้ายตกหลุมอากาศบ้าง รู้สึกว่าโลกนี้ทั้งโลก ไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่วตัวเองบ้าง รู้สึกสดชื่นเป็นสุขอย่างชนิดที่หาไม่ได้อีกแล้วในโลกบ้าง
.....บางครั้งทั้งที่กำลังหลับตาก็เห็นเป็นพระพุทธรูปลอยอยู่กลางอากาศ เบื้องหน้าบ้าง ถ้านึกจะขยายให้ใหญ่หรือย่อให้เล็กพระพุทธรูปนั้นก็จะขยายใหญ่ขึ้น หรือย่อเล็กลงได้ตามใจปรารถนา
.....บางครั้งก็เห็นเป็นแสงสว่างคล้ายแสงเงินแสงทองเมื่อยามอาทิตย์ขึ้นพ้น ขอบฟ้าคราวรุ่งอรุณบ้าง เห็นเป็นดวงกลมสว่างลอยอยู่เบื้องหน้าบ้าง ฯลฯ
.....ทุกครั้งที่นั่งฝึกสมาธิก็มีแต่จะสุขสงบยิ่งๆขึ้นไป มันช่างชื่นใจอะไรอย่างนั้น
.....ผู้ใหญ่หลายท่านจับตาดูข้าพเจ้าฝึกสมาธิด้วยความเป็นห่วง บางท่านเข้ามาเตือนด้วยความหวังดีว่าให้เลิกฝึกเสีย
.....เพราะไม่มีครูอาจารย์ควบคุมแนะนำ อาจจะเกิดการผิดพลาดทำให้เสียสติเป็นบ้าก่อนจะบรรลุมรรคผลก็ได้
.....นอกจากขอบคุณในความหวังดีของท่านและระวังคนเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะทำอะไรให้ดีไปกว่านั้น
.....แต่จะให้เลิกฝึกสมาธินั้นเมินเสียเถอะ!
.....ยามว่างจากการเรียน ข้าพเจ้าตั้งหน้าฝึกสมาธิด้วยตนเองต่อไปไม่หยุดยั้งตามแต่โอกาสจะอำนวย

การก่อผนังอิฐบล็อก

ที่มา :  https://itdang2009.com/อิฐบล็อก-และเทคนิคการก่/ อิฐบล็อก และเทคนิคการก่ออิฐบล็อก ...