วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 5)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


*** สะกดจิต
.....ความถือดีในวิชามารก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไป ไม่เพียงเท่านี้ข้าพเจ้ายิ่งถลำตัวต่อไปอีก
.....คราวนี้เรียนวิชาสะกดจิตซึ่งเป็นวิชาที่โจรร้ายทั้งหลายอยากจะได้นัก ทั้งๆรู้ว่าเป็นวิชาที่โจรแต่ก็อยากเรียน
.....เพราะคิดจะเอาไปใช้สะกดจิตในการบรรยายธรรม เป็นการจูงใจคนให้เข้าสู่ธรรมะได้ง่ายขึ้น.....โธ่เอ๋ย! ในเมื่อเราเองก็กลายเป็นเสนามารไปแล้ว จะเอาธรรมะที่ไหนไปเทศนาให้เขาฟัง
.....ขืนพูดไปก็คงจะมี่แต่เดียรัจฉานวิชาเท่านั้นเอง ทั้งคนเทศน์คนฟังคงได้ตกนรกกันเป็นพรวน
.....ท่านที่จะฝึกหัดสะกดจิตก็ตาม กำลังฝึกอยู่ก็ตาม หรือสะกดจิตได้แล้วก็ตาม
.....ข้าพเจ้าขอกราบเท้าวิงงอนให้เลิกเสีย เพราะท่านผิดแล้วยังไม่พอ จะพลอยให้ผู้อื่นหลงผิดตามท่านไปอีกด้วย
.....วิชานี้เป็นของมารโดยแท้ ไม่ว่าการสะกดจิตนั้นจะเป็นไปเพื่อใช้ในการแพทย์ ในการค้นคว้าเรื่องวิญญาณ
.....หรือแม้กระทั่งใช้สะกดตัวเอก็ตาม ข้าพเจ้าเองเคยทำได้มาแล้ว สามารถสะกดให้คนหลับได้ภายในไม่เกินสิบนาที
.....แต่เมื่อพิจารณาเห็นโทษทั้งในโลกนี้และโลกหน้าจึงจำต้องตัดใจเลิกเสีย หันมาปฏิบัติธรรมอันเป็นเนื้อแท้ของศาสนา
.....ทำไมข้าพเจ้าจึงขอร้องให้เลิกสะกดจิต?
.....ประการที่หนึ่ง ผู้ที่จะทำการสะกดจิต จะต้องตั้งปรารถนาอธิษฐานให้ผู้ถูกสะกดจิตขาดสติสัมปชัญญะ หมดความรู้สึกตัวตกอยู่ใต้การบังคับบัญชาของตนเพียงผู้เดียว
.....ไม่ว่าผู้สะกดจะบัญชาให้ไปทำดีหรือทำชั่วก็ต้องกระทำตามซึ่งล่อแหลมต่ออันตรายมาก
.....ถ้าผู้ถูกสะกดเป็นโรคเส้นประสาทมาก่อนอาจจะทำให้เป็นบ้าได้ หรือถ้าชะตาถึงฆาตก็อาจจะตายขณะสะกดจิตนั้นเอง
.....หรือถึงแม้จะไม่เป็นไร ผู้ถูกสะกดต่อมาภายหลังก็มักจะเป็นคนใจลอย ขาดสติสัมปชัญญะฉะนั้นอย่าเสี่ยงดีกว่า
.....ประการที่สอง ผู้ที่ทำการสะกดต้องฝึกสะกดตัวเองเสียก่อน คือฝึกให้ประสาทแข็งกร้าวบ้าง ลูกนัยน์ตาแข็งค้างเบิ่งนิ่งเป็นเวลานานๆ บ้าง
.....บางคนก็ทำให้ร่างกายตนเองแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ขาดสติสัมปชัญญะไปนานๆ
.....ในบั้นปลายชีวิตนักสะกดจิตมักจะป้ำๆเป๋อๆเป็นคนไม่เต็มบาท เพราะการหมั่นฝึกฝนให้ตนเองเป็นคนขาดสติอยู่ประจำนั้นเอง
.....นับว่าปิดประตูพระนิพพานของตนเองไปอย่างน่าเสียดาย
.....ประการที่สาม ในกรณีสะกดคนไข้เพื่อการรักษาในทางการแพทย์ ดูๆก็เป็นประโยชน์ดี
.....แต่อย่าเสี่ยงดีกว่า ช่วยเขาให้หายแค่เราเองกลายเป็นบ้า ใช้หยูกยาชนิดอื่นแทนก็ได้
.....อีกประการหนึ่ง การที่บุคคลเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น แท้จริงเนื่องจากกรรมชั่วในอดีตที่ตามมาให้ผลทั้งสิ้น ถ้าเป็นชนิดกรรมหนักๆ ถึงแม้จะไปเอาผู้วิเศษมารักษาก็ไม่หาย
.....แต่กรรมเบาๆไม่หนักหนาเกินไปเพียงใช้ยาก็รักษาให้หายได้ไม่ต้องไปสะกดให้เสียเวลา
.....ประการที่สี่ ในขณะที่ทำการสะกดนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบบตะวันออกที่ใช้คาถาอาคม หรือแบบตะวันตกที่ใช้การเพ่งจิตอย่างเดียวก็ตาม
.....ขณะที่ทำการสะกดนั้นฝ่ายมารส่งฤทธิ์ให้ทั้งนั้น
.....เหมือนกับประเทศไทยถ้าจะมีการจลาจลแบ่งแยกแผ่นดินไทยขึ้นเมื่อไร ไม่ว่าเราจะต้องการเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ คอมมิวนิสต์เป็นยิ้มหวาน ยื่นมือเข้าช่วยทันที ส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ให้เราเข่นฆ่ากันเองเพื่อประโยชน์ของมันในบั้นปลาย
.....ประการที่ห้า การสะกดจิตเพื่อผลการค้นคว้าทางวิญญาณนั้น ข้าพเจ้าขอเตือนว่าท่านจะไม่ได้พบความจริงเลย ไม่ว่าจะสะกดจิตตัวเองหรือผู้อื่น แต่ท่านจะได้เห็นเพียงอาการของจิตเท่านั้น
....สภาพของนักค้นว้าทางจิตที่ใช้การสะกดจิตเป็นเครื่องมือก็เปรียบเสมือนคนตาบอดคลำช้างนั่นแหละ ว่ากันไปต่างๆนานา ไม่ได้ความสักคนเดียว เพราะอะไร? ก็เพราะที่เรียกว่า “จิต” หรือเรียกว่าวิญญาณ หรือเรียกว่าใจนั้น
.....แท้จริง คือ เห็นอย่างหนึ่ง จำอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่ง
.....สี่อย่างนี้รวมเข้าด้วยกันเป็นจุดเดียวกันนั้นแหละเรียกว่าใจ
.....อยู่ที่ไหน? อยู่ในเบาะน้ำเลี้ยงหัวใจ คือ
.....ความเห็นอยู่ท่ามกลางกาย ความจำอยู่ท่ามกลางเนื้อหัวใจ ความคิดอยู่ท่ามกลางดวงจิต ความรู้อยู่ท่ามกลางดวงวิญญาณ
.....เห็นจำคิดรู้สี่ประการนี้หมดทั้งร่างกาย ส่วนเห็นเป็นต้นของรู้ ส่วนจำเป็นต้นเนื้อของหัวใจ ส่วนคิดเป็นต้นเนื้อของจิต ส่วนรู้เป็นต้นเนื้อของดวงวิญญาณไล่กันเป็นชั้นๆไปดังนี้
.....จะรู้จะเห็นได้ก็โดยการฝึกสมาธิแบบพระเท่านั้น
.....สิ่งที่งมงายที่สุดในนักค้นคว้าทางจิตตลอดจนนักสะกดจิตและนักค้นคว้าวิญญาณก็คือ ไม่ยอมเชื่อว่าสามารถมองเห็นจิตได้
.....เพียงพื้นฐานเบื้องต้นแค่นี้ ยังไม่เข้าใจแล้วจะไปค้นคว้ามันทำไม ยิ่งค้นมากเท่าไร ยิ่งถูกมารมันหลอกจูงจมูกมากเท่านั้น
.....แต่ถ้ารักจะค้นคว้าจริงๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตา ฝึกสมาธิไปดีกว่าไม่ช้าย่อมรู้ได้เอง
.....ประการที่หก พวกสะกดจิตทุกคนตกนรกหมดไม่เหลือหลอ เพราะจะต้องตายอย่างผู้ขาดสติ ตามความเคยชินที่ฝึกฝนตนเองไว้
.....เมื่อพ้นเวรจากนรกกลับมาเกิดใหม่ก็จะกลายเป็นคนใจลอยบ้าง โรคลมบ้าหมูบ้าง สติฟั่นเฟือนอีกไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันชาติบ้าง และถ้าหากยังไม่สิ้นเวร
.....ถ้าแม้ในชาตินั้นๆจะเกิดไปพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ใหม่ในเบื้อหน้าก็ไม่สามารถรองรับเอาธรรมของพระองค์ไว้ได้ เสียชาติเกิดเปล่าๆ เพราะความงมงายไปฝึกวิชามาร

ไม่มีความคิดเห็น:

การก่อผนังอิฐบล็อก

ที่มา :  https://itdang2009.com/อิฐบล็อก-และเทคนิคการก่/ อิฐบล็อก และเทคนิคการก่ออิฐบล็อก ...