วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

ผจญมาร (ตอนที่ 4)

โดย เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ
อ้างอิงจาก facebook โอวาทอันทรงคุณค่าจากพระพ่อ


*** ดับพิษไฟ
.....วิชาที่สองที่ข้าพเจ้าเรียนต่อมา คือ ดับพิษไฟ แบบไสยศาสตร์ข้าพเจ้าเสียเวลาเรียนอยู่เจ็ดวัน จึงจะเริ่มดับพิษไฟได้บ้าง จากนั้นก็หมั่นฝึกฝนหาความชำนาญเรื่อยมาหมดถ่านไปหลายสิบกระสอบ
.....ประมาณ 1-2 ปี ข้าพเจ้าก็สามารถย่ำเท้าเปล่าบนถนนถ่านเพลิงที่ติดแดงลุกโชนได้
.....น้ำมันเดือดๆ ที่ตั้งอยู่บนเตาไฟ หรือกล้วยแขกที่แม่ค้ากำลังทอดเดือดๆอยู่ในกระทะ.....พอดับพิษไฟแล้วข้าพเจ้าเอามือเปล่าลงไปความช้อนขึ้นมากินได้โดยไม่สะทกสะท้าน
.....ผู้ที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก ถ้าพบข้าพเจ้าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอให้เสียเวลา
.....ขอข้าสารเพียง 1 หยิบมือเกลือ 2-3 เม็ด ใส่ปากเคี้ยวไปนึกท่องคาถาไป พอข้าวสารแหลกดีก็พ่นใส่บริเวณที่ถูกไฟหรือน้ำร้อนลวก ไม่เกินสามอึดใจคนไข้เหล่านั้นจะหายปวดแสบปวดร้อนทันที ทั้งที่ไม่ต้องมีตัวยาอื่นใดปนทั้งสิ้น
.....เนื้อความในบทคาถาสำหรับดับพิษไฟก็เป็นการกล่าวสรรเสริญคุณพระโมคคัลลาน์ว่ามีฤทธิ์มากสามารถดับไฟในนรกพ้นทุกข์จากการถูกไฟเผาได้
.....จึงไม่มีอะไรให้จับพิรุธได้เลยว่า วิชาดับพิษไฟเป็นวิชามาร
.....ยกเว้นจะสังเกตจากวิธีการทำสมาธิของมันอย่างใกล้ชิดเท่านั้น หลักวิชาทำสมาธิของฝ่ายมารคือ หลอกให้ลูกศิษย์ของมันเอาใจไปตั้งไว้ที่วัตถุนอกตัว
.....ถ้าฝึกเพ่งกสิณ จะเป็นกสิณน้ำหรือกสิณไฟหรือกสิณชนิดใดๆก็ตาม ก็ให้เอาใจไปตั้งไว้ที่แก้วน้ำหรือกองไฟ หรือวัตถุที่ใช้เป็นกสิณนั้น
.....ครั้นฝึกไปๆดวงกสิณก็เกิดขึ้น แต่เป็นดวงสว่างนอกตัว เวลาจะเสกจะเป่าทำของขลังเช่น เสกปูนคาดคอให้หนังเหนียวก็เพ่งดวงสว่างนั้นไปที่ปูน
.....หรือถ้าจะตรวจดูใต้ดินว่ามีอะไรบ้าง ก็เอาดวงสว่งนั้นฉายพุ่งลงไปในดินเหมือนใช้ไฟฉายส่องดู
.....การทำเช่นนี้มีข้อเสียคือ
.....1.ความสว่างของดวงกสิณเกิดขึ้นน้อยมาก คือสว่างแค่ดวงเทียนอย่างมากก็แค่ไฟฉาย หรือไม่เกินคืนเดือนหงาย
.....ทำให้เป็นไม่ตรงตามความเป็นจริงเสมอไป ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่เห็นทางสายกลาง
.....2. กำหนดดวงกสิณได้ยากมาก
.....3. ทำให้เกิดความเห็นผิด คือมารมันจะหลอกเอาว่าสมาธิเล็กน้อยที่ตนทำได้นั้นถึงที่สุดแล้ว
.....เหตุนี้เองเอาฬารดาบส และอุทกดาบส จึงถูกหลอกให้ติดอยู่ในอรูปฌานว่านั้นคือนิพพานจนกระทั่งตาย
.....แถมยังจะต้องถูกหลอกอย่างนี้อีกหลายร้อยหลายพันชาติ
.....สำหรับหลักวิชาของฝ่ายพระ คือ สอนให้เก็บใจไว้ในตัวโดยเอาใจไปตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกาย (ตรงกลางท้อง)
.....ถ้าจะกำหนดกสิณไม่ว่ากสิณชนิดใดก็กำหนดไว้กลางกาย จะพิจารณาธรรมอันใดก็ตาม หรือจะแผ่เมตตาก็ตามก็กำหนดอยู่ตรงศูนย์กลางกาย
.....เมื่อกำหนดเข้าศูนย์กลางกายได้ ไม่ช้าก็เข้าถึงศูนย์กลางภพได้แล้วเข้าถึงศูนย์กลางพระนิพพานได้โดย อัตโนมัติ ไม่ลำบากยากเย็นเลย
.....ความสว่างภายในที่เกิดขึ้นก็สว่างมากกว่าเอาดวงอาทิตย์พันๆหมื่นๆดวงมารวมกันเสียอีก
.....สว่างจนกระทั่งเห็นภพของมารชัดเจน มารมันจึงกลัวนัก พอเห็นพระเท่านั้นวิ่งหางจุกกันทีเดียว
.....การกำหนดดวงกสิณก็ง่ายกว่า และที่สำคัญคือเข้าทางสายกลางอันประกอบด้วยมรรคมีองค์แปดได้อย่างง่ายดาย แม้แต่เด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบ ก็สามารถทำได้
.....เมื่อพระอรหันต์จะไปเที่ยวดูนรก ท่านก็ทำใจหยุดเข้าไปในศูนย์กลางกายของท่าน พอใจหยุดถูกส่วนก็เข้าถึงธรรมกาย ใจของธรรมกายหยุดได้ถูกส่วนก็เข้าถึงศูนย์กลางนรก
.....รังสีความเย็นของธรรมกายนั้นมีสุดประมาณ ก็จะดับไฟนรกที่กำลังแผดเผาอยู่ให้ดับสนิทได้อย่างเฉียบพลับ อุปมาเหมือนเอาปลายธูปจุ่มลงไปในทะเลน้ำแข็งฉะนั้น
.....ด้วยเหตุนี้พระโมคคัลลาน์จึงไม่เคยใช้คาถาดับพิษไฟใดๆทั้งสิ้น
.....ไม่เฉพาะพระโมคคัลลาน์เท่านั้น แม้ท่านผู้อ่านก็เหมือนกัน เมื่อฝึกสมาธิจนกระทั่งถึงธรรมกายแล้ว (ฝึกไม่ยาก) ก็อาศัยธรรมกายนี่แหละปาฏิหาริย์ลงไปไฟนรกจะดับเอง
.....บางท่านอาจเถียงว่า วิชาดับพิษไฟเป็นวิชาของพระ เพราะช่วยดับทุกข์มนุษย์ได้ เปล่าเลยมันเป็นวิชามาร
.....มันเห็นเราเอาจริงตั้งใจฝึกสมาธิไม่ลดละ
.....มันจึงหลอกให้เราเอาใจไปตั้งที่วัตถุนอกตัว จะได้ไม่เห็นตัวพวกมันชัด ตกอยู่ในอำนาจการปกครองของมันตลอดไป
.....ถ้าเราฝึกได้ถูกทางเราก็จะหลุดพ้นจากอำนาจของพญามารและสามารถปราบมันได้อีกด้วย
.....นานๆ ทีก็สมยอมให้เราทีฤทธิ์ดับพิษไฟกองเล็ก ๆ นอกตัวได้ แต่เพิ่มไฟในตัวคือหลงผิด คือว่าตัวเองเก่งให้ไหม้โหมเผาใจเราหนักเข้าไป
.....พอสุดท้ายเราก็ตายไปพร้อมกับความหลงว่า กูเก่ง
.....แต่ถ้าเราดับพิษไฟภายใน คือความหลงได้แล้ว เรื่องดับไฟภายนอกน่ะเรื่องเล็ก ต่อให้เป็นดวงอาทิตย์ก็ดับได้สบายมาก
.....ฉะนั้นผู้ใดก็ตามไม่ว่าฆราวาสหรือพระสงฆ์ที่ตั้งตนเป็นอาจารย์รูดโซ่ ลุยไฟ ดับพิษไฟ ฯลฯ อยู่ในขณะนี้นั้น
.....ขอให้ทราบเถิดว่าท่านไม่ใช่ศิษย์ของพระตถาคตแล้ว กำลังถูกมารจูงจมูกอยู่ จงเลิกเสียเถิด
.....แล้วหันหน้ามาปฏิบัติธรรมอย่างจริงๆจังๆ จะได้เข้าถึงธรรมกายตามพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายไปเสียที
.....ขณะนี้ท่านที่ฝึกสมาธิจนกระทั่งได้ธรรมกายแล้ว ในประเทศไทยมีเป็นเรือนแสน และที่กำลังจะได้ก็ยังมีอีกนับไม่ถ้วน
.....ด้วยอำนาจบุญของผู้ประพฤติธรรมเหล่านี้ ไทยจึงเป็นไทยอยู่ได้เพราะธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมเสมอไป
.....หาไม่ประเทศไทยคงถึงแก่ความย่อยยับอัปปางไปนานแล้ว ไม่สามารถลอยลำฝ่าวิกฤตการณ์ต่างๆมาได้
.....ลองคิดดูให้ดี นอกจากธรรมแล้ว เราไม่มีหลักประกันความมั่นคงของประเทศชาติอย่างอื่นเลย
.....ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เพราะทิ้งศาสนาเลิกประพฤติธรรมจึงไม่รอดพ้นจากวิกฤตการณ์สักประเทศเดียว
.....อินเดียเป็นประเทศใหญ่กว่าเรามาก แต่ก็ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศเล็กๆ คือประเทศอังกฤษ
.....ประเทศจีนก็เช่นกันเนื่องจาก เมื่อไปสืบพระพุทธศาสนาจากอินเดีย จีนได้พระสูตรไปเป็นส่วนมากพระวินัยได้ไปน้อย
.....พระภิกษุจีนจึงประพฤติศีลหย่อนยาน เป็นหลวงจีนแล้วก็ยังดื่มเหล้า ฆ่าคนได้
.....ประเทศจีนจึงต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ฆ่ากันเองตายตั้งหลายสิบล้านคน แม้ปัจจุบันก็ยังไม่ยอมเลิกราวาศอกกัน
.....พม่าก็รับพระวินัยมาน้อยทำให้ศีลของพระภิกษุพม่าหย่อนยานประชาชนก็ หย่อนศีลตาม พม่าจึงตกเป็นเมือขึ้นของอังกฤษไป แม้ปัจจุบันก็ยังไม่ฟื้น
.....ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราตั้งแต่ลังกา เวียดนาม เขมร ลาว ก็ประพฤติธรรมหย่อนยานตกอยู่ในอาการเดียวกัน จึงให้มีอันต้องตกระกำลำบากดังที่เห็นกันอยู่
.....ไทยเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่รักษาตัวได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะเรารักษารากฐานทางศาสนาที่สำคัญที่สุดคือศีลไว้ได้ จึงช่วยให้ประชาชนทั่วไปสามารถประพฤติธรรมข้ออื่นได้สะดวก
.....แต่ว่าทุกวันนี้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กจำนวนมากกำลังจะทิ้งศีลตั้งหน้าจะกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน ส้องเสพย์สุรา นารี และการพนัน อนาคตของชาติจึงน่าวิตก
.....ถ้ารักชาติจริง สาธุ! จงทิ้งอบายมุขเสียเถิด
.....เมื่อข้าพเจ้าสามารถดับพิษไปตามวิธีของมารได้ชำนาญแล้ว ก็สามารถส่งกระแสใจออกไปไกลตัวได้ตามลำดับ (ความจริงต้องถือว่าส่งไปได้แคบมากเมื่อเทียบกับวิธีของพระ)

ไม่มีความคิดเห็น:

การก่อผนังอิฐบล็อก

ที่มา :  https://itdang2009.com/อิฐบล็อก-และเทคนิคการก่/ อิฐบล็อก และเทคนิคการก่ออิฐบล็อก ...